วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กฎ 7 ข้อ พัฒนาลูกวัยเรียนไอคิวดี-อีคิวสูง

กฎ 7 ข้อ พัฒนาลูกวัยเรียนไอคิวดี-อีคิวสูง

เมื่อลูกรักเริ่มเข้าสู่วัยเรียน ถือเป็นช่วงวัยที่พ่อแม่หลายๆ คนเริ่มฝากความหวังไว้กับโรงเรียน เพราะคิดว่าลูกได้มีสังคม และสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ที่ให้ความสนุก และความสุข โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องดูแล หรือมีบทบาทอะไรมากนัก ทำให้บางคนคิดว่า หน้าที่รับส่งลูกที่โรงเรียน สอนการบ้าน หรือทำกิจกรรมร่วมกันเล็กๆ น้อยๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

แต่ในความเป็นจริง เด็กในช่วงวัยนี้ควรได้รับการพัฒนาทักษะที่สมบูรณ์อย่างถูกต้องจากที่บ้านด้วย ไม่ว่าจะกิน เล่น หรือนอน เพราะถือเป็นส่วนสำคัญในการเติมเต็มให้เด็กมีร่างกาย และสมองที่ดี ซึ่งมีวิธีพัฒนาลูกง่ายๆ 7 ข้อ เป็นคำแนะนำดีๆ ที่ทีมงาน Life and Family ได้รับจากสถาบันพัฒนาความฉลาด และเสริมสร้างทักษะสมอง เพื่อเป็นแนวทางให้กับพ่อแม่ในการพัฒนาทักษะลูกน้อยในวัยเรียนให้ฉลาดสดใสกันครับ

1. ควรจัดเวลาเข้านอนอย่างเหมาะสม

เมื่อลูกถึงวัยของการไปโรงเรียน เด็กควรเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะเด็กใช้เวลาตอนกลางวันไปกับการเรียนรู้ เล่น และทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย ดังนั้นจึงควรได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ถ้าหากเด็กนอนเร็วในเวลาที่เหมาะสมประมาณ 20.00 น.ทุกๆ วัน เด็กจะตื่นแต่เช้าโดยไม่งอแง แต่จะเป็นเด็กอารมณ์ดี สมองปลอดโปร่ง และพร้อมที่จะใช้พลังในการเรียนรู้อย่างเต็มที่

แต่ถึงกระนั้น เชื่อว่าหลายๆ บ้านมักเจอปัญหาลูกไม่ยอมนอนแต่หัวค่ำ ซึ่งอาจเป็นเพราะห่วงเล่น หรือมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น อยากดูโทรทัศน์ อยากเล่นกับพี่น้อง หรือไม่นอนตามพ่อแม่ ปัญหานี้ มีวิธีตั้งรับคือ กำหนดเวลานอน โดยสมาชิกทุกคนในบ้านร่วมมือปฏิบัติตามข้อกำหนดคือ เข้านอนตามเวลา ควรสร้างบรรยากาศการพักผ่อน เช่น หรี่ไฟ หรือปิดไฟ ปิดทีวี เก็บงาน หรือของเล่น ทำอย่างสม่ำเสมอตรงเวลาทุกวัน นอกจากนี้ควรแสดงความชื่นชมเมื่อลูกเข้านอนตามเวลาที่กำหนด หรืออ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกนอนหลับอย่างมีความสุข เด็กก็จะปฏิบัติตามได้ในที่สุด

2. อาหารเช้า อาหารสมองที่จำเป็น

เด็กในวัยเรียนทุกคน ควรรับประทานอาหารเช้าทุกวันก่อนไปโรงเรียน เพราะการที่เด็กได้รับอาหารเพียงพอจะทำให้เด็กมีความพร้อมในการเรียนรู้ โดยเฉพาะอาหารเช้าที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองมีประสิทธิภาพในการคิดได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว โดยอาหารเช้าที่เตรียมได้ง่ายๆ คือ ซีเรียลกับนม หรือขนมปังกับนม

อย่างไรก็ดี พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้เด็กลองรับประทานอาหารที่หลากหลาย อาจเป็นการลองชิมทีละน้อย ผลไม้แกะเม็ดออกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ หรือขนมหวานของไทยบางชนิดที่มีคุณค่าทางอาหารสูง พ่อแม่อาจเลือกให้เด็กกินได้ เช่น กล้วยบวดชี มัน หรือฟักทองแกงบวด เป็นต้น

สำหรับบ้านที่ลูกเป็นเด็กกินยาก สาเหตุอาจเป็นเพราะลูกไม่เคยรับประทาน ห่วงเล่น ห่วงทำกิจกรรมอื่นๆ อารมณ์ไม่ดี หรือขาดแรงจูงใจ ดังนั้น วิธีรับมือ คือ ตักอาหารให้ลูกทีละน้อยรับประทาน 3-4 คำหมด เด็กจะรู้สึกว่าตัวเขาเองประสบความสำเร็จในการรับประทานอาหาร โดยพ่อแม่ควรให้คำชม และเป็นกำลังทุกครั้งเมื่อลูกทำได้

3. แบ่งเวลาดูทีวี-เล่นเกมอย่างเหมาะสม

สื่อนิยมของเด็กอย่างโทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์ เรียกได้ว่า เป็นเครื่องใช้ประจำบ้านไปเสียแล้ว แต่สำหรับเด็กนั้น ต้องจำกัดเวลาในการใช้ด้วย เพราะการที่เด็กจ้องมองหน้าจอนานๆ จะมีผลต่อสายตา และสมองของเด็กได้ เนื่องจากทำให้สมองเหนื่อยล้า ไม่อยากเรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดจนเสียเวลาที่ควรใช้กับคนในครอบครัวไป

ดังนั้น เวลาที่เหมาะสมในการให้ลูกดูโทรทัศน์ และเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ควรให้เล่นได้ไม่เกินวันละ 1 ชม. และครั้งละไม่เกิน 30 นาทีในวันที่ต้องไปโรงเรียน แต่ทั้งนี้อาจเพิ่มเวลาขึ้นได้นิดหน่อยในวันหยุดสุดสัปดาห์ อย่างไรก็ดี การจัดวางโทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์ในบ้าน ไม่ควรอยู่ในห้องนอนเด็ก เพราะเด็กจะเปิดแล้วนอนดูนานเกินเวลาที่กำหนด หรือดูรายการที่ไม่เหมาะสมได้

สำหรับบ้านที่ลูกติดทีวี หรือติดเกมมากเกินไปโดยไม่ยอมเลิก ไม่ยอมเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่นๆ เลย พ่อแม่ควรตกลงกติกาก่อนอนุญาตให้ดู หรือเล่น เช่น ตั้งแต่เวลาให้ลูกรู้จักขอบเขตในการดู หรือเล่น หากเด็กละเลยไม่ยอมทำตามกติกา ควรกำหนดบทลงโทษ เช่น ไม่ให้ดู หรือเล่นในวันต่อไป ชมเชยทุกครั้งที่เด็กทำตามกติกา นอกจากนี้ ควรเตรียมกิจกรรม หรือของเล่นอื่นๆ ไว้ให้ลูกได้เปลี่ยนไปเล่นบ้าง โดยทั้งนี้พ่อแม่ต้องไม่ใจอ่อนกับลูกเป็นอันขาด

4. ฝึกให้เด็กรับผิดชอบงานในหน้าที่ของตัวเอง

เด็กวัยเรียน ควรได้รับการฝึกสอนให้รับผิดชอบในเรื่องข้าวของเครื่องใช้ของตนเอง ฝึกสวมเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า รู้จักเก็บของเล่นของใช้ ซึ่งเด็กในวัยนี้ สามารถรับผิดชอบงานบางอย่างในบ้านได้แล้ว เช่น ช่วยจัดโต๊ะอาหาร รินน้ำใส่แก้ว รดน้ำต้นไม้ จัดที่นอน เรียงหมอน พับผ้าห่ม ทั้งนี้ควรให้เริ่มจากงานง่ายๆ ก่อน เพราะงานที่ยาก และใช้เวลานาน เด็กจะท้อแท้จนไม่อยากทำ เช่น พับผ้าผืนเล็กๆ จัดวางจานช้อนส้อมบนโต๊ะอาหาร เป็นต้น ซึ่งพ่อแม่ต้องแสดงทีท่าว่าความรับผิดชอบงาน เป็นเรื่องที่สนุกสนาน และเป็นหน้าที่ของทุกคน มีการทบทวนหน้าที่ของสมาชิกในบ้านอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกงานที่ตนเองอยากลองทำ หรือสับเปลี่ยนกัน


5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน

ให้โอกาสเด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายแบบต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ดี เช่น วิ่ง กระโดดเชือก ว่ายน้ำ สังเกตความสนใจของเด็กได้จากความชอบ หรือไม่ชอบอะไร ซึ่งควรจัดกีฬาให้ลูกอย่างเหมาะสมตรงตามที่ลูกชอบ เพื่อให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการออกกำลังกาย โดยมีพ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีในการออกกำลังกาย

6. ให้เด็กทำงานอดิเรกที่ชอบ

การเล่น คือการทำงานของเด็ก ดังนั้น พ่อแม่ควรสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายให้ลูก เพื่อให้เด็กได้เลือกงานอดิเรกที่ตนเองสนใจ ถึงแม้ว่าเด็กวัยนี้ยังบอกไม่ได้ว่าอะไรที่ตนชอบ หรือถนัด พ่อแม่จึงควรช่วยให้เด็กได้ลองเล่น และฝึกฝนงานหลายๆ อย่าง ซึ่งงานอดิเรกมีประโยชน์คือ ให้เด็กได้เปลี่ยนกิจกรรมไปทำสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากการเรียน และคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี งานอดิเรกมีหลายประเภท และให้ทักษะแก่เด็กที่แตกต่างกัน เช่น การเล่นดนตรี ได้ฝึกการฟัง การแยกระดับเสียง เรียนรู้จังหวะ การทำงานศิลปะ เช่น การปั้น ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อนิ้วมือ และยังได้เรียนรู้ถึงคุณสมบัติ และผิวสัมผัสของดินที่นำมาปั้นอีกด้วย เช่น นุ่ม เย็น เหนียว ส่วนงานประดิษฐ์ต่างๆ เด็กจะได้ฝึกใช้กรรไกรตัด การฉีก ปะกระดาษ รู้จักผิวสัมผัสของสิ่งต่างๆ เช่น ความเหนียว หรือความลื่นของแป้งเปียก และกาว

7. ฝึกให้เด็กทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ

ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เด็กที่มีสมาธิดี จะเรียนรู้อย่างเข้าใจ และมีความจำดี พ่อแม่จึงควรชวนลูกทำสมาธิกันทุกวัน ครั้งละประมาณ 8 นาที แบ่งเป็นยืน เดิน นอน อย่างละ 2 นาที ในเรื่องนี้ เด็กจะซึมซับหรือไม่นั้น พ่อแม่ถือเป็นต้นแบบ และตัวอย่างที่จะประพฤติปฏิบัติให้เด็กดู ทำให้เด็กเชื่อว่า การทำสมาธิเป็นสิ่งที่ดี และไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ

แต่กระนั้น การฝึกสมาธิครั้งแรก อาจใช้เวลาน้อย เมื่อเด็กทำได้แล้ว จึงค่อยๆ เพิ่มเวลาให้นานขึ้น เวลาที่เหมาะสมในการทำสมาธิของเด็กวัยเรียนคือ 8-12 นาที และช่วงเวลาที่ดีคือก่อนนอน ประมาณ 2 ทุ่ม หรือเวลาเช้า

ลองนำไปปฏิบัติกันดูนะครับ ซึ่งแต่ละข้อเป็นวิธีที่ทำได้ไม่ยากเลย เพียงแต่ว่า จะทำอย่างสม่ำเสมอกันหรือเปล่า ซึ่งหากทำอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ เชื่อว่า ลูกรักจะเป็นเด็กฉลาดอย่างมีความสุขแน่นอนครับ


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

เมื่อลูกเป็น "ผื่น"


อย่านิ่งนอนใจ! เมื่อลูกเป็น "ผื่น"

เวลาที่ลูกน้อยมีผดผื่นขึ้นตามตัว คุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่า เป็นผดผื่นธรรมดาไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด แต่ช่วงหน้าฝนเช่นนี้มีอีกโรคที่ระบาดหนักโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก นั่นก็คือโรค มือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดผื่นได้เช่นกัน สร้างความรำคาญใจให้กับลูกเล็ก ตลอดจนสร้างความหงุดหงิด และความกังวลใจให้แก่ผู้เป็นคุณพ่อคุณแม่ได้ไม่น้อย

สำหรับตัวโรคมือเท้าปากนี้ พญ.ปวินทรา หะรินสุตสมนึก กุมารแพทย์ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช อธิบายให้ฟังว่า เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของคน มีชื่อว่า เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) พบได้บ่อยในกลุ่มเด็กทารก และเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งเป็นกันมากในช่วงหน้าฝน เพราะอากาศเย็นและชื้นทำให้เชื้อไวรัสมีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

โดยทั้งนี้มีข้อมูลการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคของกระทรวงสาธารณะสุขตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนของปี 2553 พบผู้ป่วยทั่วประเทศแล้ว 7,137 คน เกือบร้อยละ 90 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี แต่ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต ซึ่งเด็กจะมีอาการเป็นตุ่มใสๆ หรือตุ่มแดงเล็กๆ ขึ้นกระจัดกระจายในบริเวณมือ เท้า ทั้งหน้ามือและหลังมือ รวมไปถึงตุ่มใสๆในช่องปาก ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด เจ็บปาก ไม่อยากรับประทานอาหาร ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ต่ำๆ คล้ายไข้หวัด มีน้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ จาม ร่วมนำมาก่อนจะมีผื่น

ด้านวิธีป้องกัน และวิธีการรักษาโรคมือเท้าปาก คุณหมอท่านนี้บอกว่า เชื้อไวรัสชนิดนี้จะถูกขับออกมากับอุจจาระ และสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ด้วยวิธีการกินอาหาร ดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส หรืออาจติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพอง และแผลของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโดยตรง เพราะฉะนั้น โรคนี้ป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพอนามัยของเด็กให้ดีอยู่เสมอ เช่น การหมั่นให้เด็กล้างมือ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเล่นกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ นอกจากนี้การปลูกฝังให้เด็กรับประทานผักและผลไม้เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานก็เป็นส่วนสำคัญ

อย่างไรก็ดี ในกรณีที่เด็กเป็นโรคนี้แล้ว คุณหมอแนะว่า คุณพ่อคุณแม่ควรให้เด็กดื่มน้ำเยอะๆ และรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด โดยให้รับประทานครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ ในช่วงที่ป่วยเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและโรคอื่นๆ ที่อาจจะตามมาจากการขาดสารอาหารไปเลี้ยงร่างกาย เนื่องจากโรคนี้ไม่มียารักษาจำเพาะ ถ้ามีอาการเจ็บแผลในปากมากจนรับประทานอาหารไม่ได้ หรือไข้สูง ซึม ควรรีบพามาพบแพทย์

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กทุกบ้าน เมื่อได้อ่านข่าวนี้แล้ว หากลูกมีตุ่มใสๆ หรือตุ่มแดงเล็กๆ ขึ้นกระจัดกระจายในบริเวณมือ เท้า ทั้งหน้ามือ และหลังมือ รวมไปถึงตุ่มใสๆ ในช่องปาก ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม หรือลักษณะอาการอื่นๆ ตามที่ระบุในข่าว อย่านิ่งนอนใจเป็นอันขาด เพราะลูกอาจมีโอกาสเสี่ยต่อการเป็นโรคมือเท้าปากได้

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

7 เทคนิคปรับพฤติกรรมลูกรับวันหยุดสุดสัปดาห์

7 เทคนิคปรับพฤติกรรมลูกรับวันหยุดสุดสัปดาห์

ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์กันแล้ว หลายครอบครัวคงดีใจและใช้เวลาวันเสาร์อาทิตย์ทำกิจกรรมร่วมกัน แต่ก็มีบ้าง บางครอบครัวที่ทำกิจกรรมกับลูกตัวน้อยจริง แต่ไม่ว่าลูกจะทำอะไรก็ "อย่า ไม่ ห้าม" กันตลอด จนเด็กหงุดหงิด ผู้ปกครองห้ามมาก ๆ ก็(เริ่ม)อารมณ์ไม่ดี พาลทำให้กิจกรรมวันหยุดไม่สนุกเสียนี่

วันนี้เราจึงมองหาเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่น - สนุกสนานให้เกิดขึ้นอีกครั้งมาฝาก ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ

1. เมินเฉยกันบ้าง

ถ้าหากพฤติกรรมนั้น ๆ ของลูกไม่ใช่การทำลายข้าวของ ทำร้ายสัตว์ - คนให้บาดเจ็บ หรือเป็นพฤติกรรมที่คุณไม่สามารถยอมรับได้จริง ๆ ลองทำเป็นไม่สนใจเมื่อเห็นพฤติกรรมเหล่านั้น บางครั้งการแสดงออกของผู้ปกครองด้วยการลงไปห้าม อาจเป็นการส่งเสริมให้เด็กทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก เพราะแกได้เรียนรู้ว่า ทำแล้วสามารถเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ได้ ดังนั้นในบางกรณี การไม่สนใจก็ทำให้ลูกเลิกทำสิ่งที่คุณไม่ชอบได้เช่นกัน แถมไม่ต้องอารมณ์เสีย คอยห้ามทัพกันตลอดด้วยค่ะ

2. สอนลูกเรื่องเหตุและผล

หากจะปรับพฤติกรรมของลูกให้ดีขึ้น การสอนให้ลูกเข้าใจเรื่องเหตุและผลเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี เพราะจะทำห้เด็กเข้าใจว่า หากเขาตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างลงไปแล้วผลที่เกิดกับเขาจะเป็นอย่างไร ไม่เพียงเท่านั้น ลองให้ลูกได้มีโอกาสเลือกทำในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วยอมให้เขาได้รับผลของมันบ้าง (แต่ต้องเป็นสิ่งที่พ่อแม่พิจารณาแล้วว่าไม่เป็นอันตรายนะคะ) ประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการเลือกของตนเองจะทำให้เขาฉลาดเลือก และฉลาดทำมากขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป

3. เอ่ยปากชม

การเอ่ยปากชมลูกเมื่อเขาทำตัวน่ารัก หรือทำสิ่งที่เหมาะสมถือเป็นตัวช่วยทรงพลังให้กับการสร้างลักษณะนิสัยที่ดีในเด็ก เพราะโดยมากเมื่อเด็กทำพฤติกรรมอะไร เขาก็มักจะอยากได้รับการตอบสนองจากพ่อแม่ แต่ก็ต้องใช้เทคนิคนี้อย่างเหมาะสมด้วยนะคะ ไม่ชมจนเฝือ

4. หลีกเลี่ยงคำพูดแย่ ๆ

พ่อแม่บางคนเลือกใช้คำประชดประชัน กดดันลูก เพื่อหวังให้เด็กมีแรงฮึด แต่อาจใช้ไม่ได้เสมอไป เพราะเด็กบางคนเมื่อเจอคำพูดไม่ดี ๆ จากพ่อแม่ (ที่หวังดี) เหล่านั้น เขาก็เลยเลิกล้มความตั้งใจที่จะทำดีไปเสียเลยก็มี อีกประการหนึ่ง หากพ่อแม่หวังจะปรับให้ลูกเป็นคนดี มีพฤติกรรมที่ดี มีประสบการณ์ที่ดี ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งไม่ดี หรือคำพูดไม่ดี ๆ ใช่ไหมคะ

5. มีเทคนิคการให้รางวัล (ที่ดี)

บางครั้งการใช้ของรางวัลล่อใจก็ช่วยให้ปรับพฤติกรรมลูกไม่น่าเบื่อเกินไป แต่พ่อแม่ก็ต้องระวังในจุดนี้ด้วย ไม่ให้ลูกหวังของรางวัลทุกครั้งที่ทำความดี เทคนิคการให้รางวัลกับลูก ๆ ด้วยวิธีนี้อาจทำเป็นตารางความดีของลูก บันทึกความดี (หรือก็คือพฤติกรรมดี ๆ ที่คุณอยากส่งเสริมให้เขาทำนั่นเอง) แปะข้างฝาเอาไว้ให้เห็นเด่นชัด เขาก็จะเห็นความดีของเขาพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตามการบันทึก และทำให้การให้รางวัลของพ่อแม่ดูดีมีเหตุผลมากขึ้นด้วย

6. เตือน

เด็ก ๆ มักลืมง่าย โดยเฉพาะเขามักลืมสิ่งที่พ่อแม่ต้องการให้เขาทำเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างมาล่อใจ (เช่น เกม ทีวี เป็นต้น) การเตือนของพ่อแม่ช่วยให้เขากลับมาอยู่ในร่องในรอยได้อีกครั้ง ความลับของข้อนี้คืออย่าเตือนในลักษณะของการบ่น แต่อาจเป็นการบอกให้รู้เป็นนัย ๆ หรือใช้คำโค้ดลับที่ทราบกันในครอบครัว เมื่อเด็กเข้าใจ "สาร" ที่พ่อแม่ส่ง เขาก็จะทำในสิ่งนั้น ๆ โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องออกคำสั่งเลย

7. ว่าด้วยเรื่องของสิทธิพิเศษ

สิทธิในการใช้โทรศัพท์ สิทธิในการดูทีวี เล่นเกม ฯลฯ เหล่านี้พ่อแม่สามารถสั่งระงับได้หากลูกมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เช่น ไม่ยอมทำการบ้าน ไม่ทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมาย การสอนเช่นนี้จะทำให้ลูกรู้จักรับผิดชอบในงานมากขึ้น และเข้าใจคุณค่าของสิทธิพิเศษที่เขาได้รับด้วย

วันหยุดทั้งที ลองเปลี่ยนกิจกรรมที่เต็มไปด้วยเสียงบ่น เสียงห้าม มาเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างคุณลักษณะดี ๆ ของเด็กให้เด่นชัดขึ้นจะดีกว่าไหมคะ ไม่แน่ว่าอาจทำให้สุดสัปดาห์นี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของทุกคนในครอบครัวก็เป็นได้นะคะ

เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจาก more4kids.info
ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อาหารช่วงตั้งครรภ์ สำคัญทุกไตรมาส

'เมนู' ช่วงตั้งครรภ์ สำคัญทุกไตรมาส
โดย: ชาดา

จะว่าไปแล้วเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่คุณแม่ท้องใส่ใจเป็นอันดับหนึ่งค่ะ แต่ที่รู้อยู่แล้วว่ากินให้ครบหลัก 5 หมู่นั้นเป็นเรื่องต้องทำค่ะ ทว่าในแต่ละไตรมาสมีความพิเศษอยู่ ช่วงไหนต้องเน้นเสริมอะไร เรามีดาวเด่นที่คุณแม่กินแล้วจะช่วยเสริมสร้างลูกน้อยในครรภ์ให้แข็งแรงมาแนะนำค่ะ

ไตรมาสแรก “อาหารเพื่อการสร้างเซลล์”
เริ่มที่ร่างกายคุณแม่ก่อนเลยค่ะ จากร่างกายปกติเมื่อตั้งครรภ์ระบบภายในร่างกายคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งระบบการไหลเวียนของเลือด ร่างกายต้องใช้พลังงานและแบ่งสารอาหารเพื่อเลี้ยงลูกน้อยในครรภ์

ส่วนพัฒนาการของลูกน้อยในช่วงไตรมาสแรกเป็นช่วงที่ลูกกำลังก่อร่างสร้างเซลล์ขึ้น และเซลล์มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มสร้างอวัยวะทั้งด้านร่างกาย โครงกระดูก แขน ขา รวมถึงอวัยวะภายใน หัวใจ ตับ ปอด สมอง ไต เมื่ออวัยวะต่างๆ ของลูกน้อยกำลังเริ่มฟอร์มตัวในช่วงนี้ สารอาหารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์คือ

+ กรดโฟลิกหรือโฟเลท

โฟเลทเป็นสารอาหารจำเป็นที่ช่วยพัฒนาระบบประสาท มีบทบาทสำคัญในการแบ่งเซลล์สร้างสมอง และกระดูกไขสันหลัง เรียกว่าป้องกันความผิดปกติของของสมองและไขสันหลังด้วย (Neural tube defect) มีการศึกษาพบว่าคุณแม่ที่ขาดกรดโฟลิกจะมีโอกาสที่คลอดลูกแล้วมีความพิการทางสมองมากกว่าปกติ แต่หากคุณแม่ที่เคยคลอดลูก แล้วลูกมีความพิการทางสมอง เช่น ไม่มีกะโหลกศีรษะ เมื่อตั้งครรภ์ครั้งต่อไปหากให้รับประทานกรดโฟลิกตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์จนครบ 3เดือน จะสามารถป้องกันความพิการทางสมองของลูกน้อยในครรภ์ได้

Food
ผักใบเขียว บลอกโคลี ผักโขม ผลไม้ อาหารประเภทถั่ว ธัญพืช ตับหมู ขนมปังโฮลวีท แต่ควรรับประทานสดๆ หรือไม่ปรุงนานเกินไป เพราะกรดโฟลิกจะสลายตัวเมื่อถูกความร้อนสูง

+ กรดไขมัน DHA โอเมก้า 3

เนื่องจากเป็นช่วงที่สมองกำลังมีพัฒนาการ กำลังแบ่งเซลล์ สารอาหารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์สมองคือกรดไขมัน DHA โอเมก้า 3 ช่วยพัฒนาสมองลูกน้อยในครรภ์

Food

ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาโอลาย

Modern mom tip: หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้อง เหม็นกลิ่นอาหารง่าย แนะนำให้รับประทานถั่วเหลือง เมล็ดอัลมอนด์ หรือเมล็ดฟักทอง แทนได้ค่ะ


ไตรมาสสอง “เซลล์ขยายขนาด”
เมื่อร่างกายเริ่มสร้างอวัยวะครบแล้ว ในช่วงไตรมาสแรกที่สองเดือนที่ 4-6 เซลล์ในร่างกายลูกน้อยจะเริ่มขยายขนาด อวัยวะต่างๆ ของลูกน้อยจะขยายขนาดขึ้น ลูกเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้ มีเล็บ มีผม มีขนคิ้ว ส่วนสมองก็เป็นช่วงที่พัฒนาการมากขึ้นในช่วงไตรมาแรกถึง 4 เท่า

ช่วงนี้คุณแม่จึงจำเป็นต้องได้รับอาหารที่เพิ่มขึ้นอีกวันละ 300 กิโลแคลอรี เพื่อให้เพียงพอกับการพัฒนาเซลล์ที่ขยายขนาดขึ้น ขณะเดียวกันขนาดของมดลูกของคุณแม่ก็เริ่มขยายตัวตามขนาดตัวลูกขึ้น ที่เราจะเห็นคุณแม่ท้องโตขึ้นก็ช่วงไตรมาสนี้ละค่ะ ช่วงนี้คุณแม่พยายามทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสเข้าไว้ เพื่อให้การสร้างอวัยวะไม่ชะงัก

+ เหล็ก

เมื่อลูกน้อยในครรภ์กำลังขยาย ขนาดของเซลล์ ร่างกายจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องการอาหารในปริมาณมาก ขณะที่ร่างกายคุณแม่ก็ต้องการเลือดมากขึ้นเพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารส่งต่อไปยังลูกน้อยในครรภ์ จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารที่ช่วยบำรุงเลือด ช่วยสร้างให้มีจำนวนเม็ดเลือดแดงเพียงพอ เพื่อป้องกันอาการโลหิตจาง ภาวะซีดที่อาจจะเกิดกับคุณแม่ นอกจากนี้คุณแม่ควรได้รับวิตามินซีควบคู่กันไป เพราะวิตามินซีมีช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็กให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว กีวี ฝรั่ง

Food

เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ ตับ ปลาทูน่า กุ้ง ไข่แดง งาดำ หรือผักใบเขียว

+ ไอโอดีน

ช่วงตั้งครรภ์ต่อมไทรอยด์ทำงานมากขึ้น ร่างกายจึงต้องการอาหารมากขึ้น เพื่อป้องกันโรคคอหอยพอก เพราะสำหรับเด็กแล้วหากได้รับไอโอดีนไม่เพียงพออาจจะทำให้สติปัญญาบกพร่องได้

Food

อาหารทะเล เกลือที่มีส่วนผสมของไอโอดีน


ไตรมาสสาม “เซลล์ขยายขนาด”

เป็นระยะที่ลูกน้อยในครรภ์ขยายเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 4สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ลูกจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สมองของลูกพัฒนาอย่างรวดเร็วที่สุดในไตรมาสนี้ด้วยค่ะ ยิ่งช่วงใกล้คลอดประมาณเดือนที่ 8-9 ขนาดของลูกน้อยจะมีขนาดเท่ากับตอนที่คลอดอออกมา สิ่งที่ตามมาช่วงนี้คือน้ำหนักของคุณแม่เพิ่มขึ้น เพราะลูกน้อยในครรภ์มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้นเองค่ะ

นอกจากคุณแม่จะต้องกินอาหารเพื่อเสริมสร้างร่างกายลูกน้อยแล้ว ยังเป็นช่วงที่ต้องเตรียมสำรองสารอาหารไว้เพื่อช่วยสร้างน้ำนมด้วย

หากช่วงนี้คุณแม่รู้สึกอึดอัดแน่นท้อง ควรแบ่งการรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ วันละ 5-6มื้อ เคี้ยวให้ละเอียด และรับประทานให้ช้า คุณแม่อาจจะมีอาหารว่างพกติดตัวไว้เสมอ เช่น กล้วย ส้ม ขนมปังกรอบ ถั่วอบแห้ง

+ แคลเซียมและฟอสฟอรัส

เป็นสารอาหารที่ช่วยพัฒนาการของกระดูกและฟันให้กับลูกน้อย และยังมีส่วนช่วยลดการเกิดตะคริวให้คุณแม่ ซึ่งปกติคุณแม่ควรเริ่มสะสมแคลเซียมตั้งแต่ไตรมาสแรก แต่ช่วง 2เดือนสุดท้ายก่อนคลอด กระดูกและฟันจะถูกสร้างมากที่สุด คุณแม่จึงควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงมากขึ้นกว่าเดิม โดยรับประทานวันละ 1200 มิลลิกรัม

Food

ปลาเล็กปลาน้อย นม งา ถั่วเหลือง (มีวิตามินดี เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี) แต่หากมีน้ำหนักเกินควรดื่มนมไร้ไขมัน

+ ผัก ผลไม้

คุณแม่อาจจะมีอาการท้องผูกง่าย เพราะมดลูกไปกดทับลำไส้ ควรรับประทานผักและผลไม้ ที่มีกากใยเพื่อเพิ่มปริมาณอุจจาระทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดริดสีดวงทวารได้ค่ะ

รับประทานผักและผลไม้หลากหลายทุกวัน หรืออาจจะดื่มน้ำผัก ผลไม้ปั่นแทนได้ควรมีกากผสมด้วยไม่ควรกรองทิ้ง ดื่มประมาณ 1 แก้วต่อวัน สำหรับคุณแม่ที่บางวันอาจจะรับประทานอาหารที่มีปริมาณผักน้อย

Food

มะขามหวาน ลูกพรุน โยเกิร์ต มะละกอ เป็นยาระบายธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลาย ปัญหาท้องผูกได้


กินให้ดี กินให้ถูกหลัก กินให้ครบ เท่านี้ร่างกายของทั้งคุณแม่และคุณลูกก็แข็งแรงแล้วค่ะ #



ห้ามพลาด

+ อาหารหลัก 5 หมู่

อย่าให้ขาดค่ะ โดปตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์จะดีที่สุดเลย เนื้อ นม ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเนื้อเยื่อ เซลล์ต่างๆ ทั้งของแม่และลูก

+ น้ำ

ร่างกายมีความต้องการน้ำมากขึ้น เพราะขนาดมดลูกที่ขยายใหญ่จะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น จึงควรดื่มน้ำให้พอเพียง อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง และร่างกายไม่ขาดน้ำ



อาหารที่แม่ท้องต้องระวัง!!!

1.น้ำตาล ไม่ควรทานน้ำหวาน ของหวานมากเกิน ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกินวันละ 6 ช้อนชา

2.อาหารทอดกรอบ ไม่ควรกินของทอดบ่อย เพราะจะทำให้น้ำหนักที่เพิ่มไปอยู่ที่คุณแม่ ควรใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในการปรุงอาหารประเภทผัด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน อาหารประเภททอดควรใช้น้ำมันประเภทที่มีกรดไขมันอิ่มตัว ไม่ควรนำน้ำมันเก่ามาใช้ซ้ำ ปริมาณน้ำมันที่รับประทานไม่ควรเกิน 30 เปอร์เซ็นต์จากพลังงานทั้งวัน

3.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม- อาหารที่มีแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนเป็นส่วนผสม หรือลดการดื่มชา กาแฟ เหล้า เพราะแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนจะไปลดการดูดซึมสารอาหารดีๆที่จะส่งต่อไปถึงลูกได้

4.อาหารไม่สุกสะอาด อาหารดิบมีความเสี่ยงต่อพยาธิและแบคทีเรียที่อาจทำให้ท้องเสีย

5.อาหารหมักดอง อาหารที่มีเกลือมาก ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

6.กินคาร์โบไฮเดรตเท่าเดิม ไม่ควรเพิ่มปริมาณนะคะ เพราะจะทำให้คุณแม่อ้วนได้ค่ะ





ที่มา
http://www.momypedia.com/knowledge/pregnancy/detail.aspx?no=25237&title='เมนู'%20ช่วงตั้งครรภ์%20สำคัญทุกไตรมาส

เมนู...แรกท้อง

เมนู...แรกท้อง
โดย: ไข่หวาน

เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่ มื้อหน้าจะกินอะไรเผื่อลูกดีน้า
ก็ห่วงลูกในท้องกลัวจะไม่แข็งแรงสมใจ ต้องปรับตัวเรื่องอาหารเป็นการใหญ่ วางแผนสามเดือนแรกซะหน่อยก็ดีนะคะ

เดือนที่ 1 แรกรู้ว่ามีหนู

* เปลี่ยนพฤติกรรมการกินกันหน่อย งดคาเฟอีน แอลกอฮอล์ กับน้ำอัดลม
* เลือกอาหารจานที่มีผักใบเขียว นม จะได้มีสารโฟเลตช่วยป้องกันสมองลูกจากความพิการ
* แป้ง ไขมัน โปรตีน ยังไม่จำเป็นมากนัก เดี๋ยวน้ำหนักจะเกินเปล่าๆ


: คะน้า / บร็อกโคลี ผักกวางตุ้ง และผักใบเขียวมีโฟเลตสูง

เดือนที่ 2 เมื่ออาการแพ้ท้องมาเยือน

* กินทีละน้อยแต่กินบ่อย เลือกอาหารย่อยง่าย รับอาการแพ้ท้อง
* อาหารที่มีวิตามินบี 6 ช่วยบรรเทาอาการโอ้กอ้ากได้

: เนื้อสัตว์ ข้าวซ้อมมือ กล้วย ธัญพืช มีวิตามินบี 6 สูง

เดือนที่ 3 ท้องขยายเพิ่มขึ้นทุกวัน

* อย่างนี้ต้องเติมสารแอนติออกซิแดนซ์ให้ผิวยืดหยุ่น ไว้รับมือกับสรีระที่กำลังเปลี่ยน
* เริ่มกินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด ได้วิตามินครบและท้องไม่ผูก

: ส้ม มะเขือเทศ แครอต ฟักทอง กล้วย มีสารแอนติออกซิแดนซ์สูง

เอาเป็นว่าท้องนี้ขอให้สุขภาพแข็งแรงกันทั้งแม่ทั้งลูกเลยก็แล้วกันค่ะ

ไตรมาส 2..แม่ต้องกินเพื่อลูกในท้อง

ถึงจะคลายอาการแพ้ท้องแล้วแต่ก็ยังต้องใส่ใจเรื่องกินอยู่นะคะ

เข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่คงคลายอาการแพ้ท้องและกินอาหารได้มากขึ้นกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องกินกันต่อนะคะ (บอกแล้วว่าเรื่องกินเรื่องหญ่ายยย) เพราะเป็นช่วงที่เจ้าตัวน้อยในท้องสร้างอวัยวะสำคัญๆ ครบแล้ว และกำลังแบ่งเซลล์เพื่อให้อวัยวะต่างๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นค่ะ

แคลเซียม เพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟันของทั้งคุณเองและลูกน้อย ซึ่งก็ควรจะได้วันละ 800-1,200 มิลลิกรัม เพราะหากได้รับไม่เพียงพอ ลูกก็จะดึงเอาจากร่างกายคุณแม่ที่สะสมไว้นั่นแหละ จนอาจทำให้คุณแม่เป็นโรคกระดูกพรุนได้ในระยะยาว

อาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม โยเกิร์ต ไข่ ถั่วเหลือง บร็อคโคลี่ ปลาเล็กปลาน้อย ชีส

ธาตุเหล็ก เพื่อนำไปสร้างเม็ดเลือดแดงไว้พาเจ้าออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย สำหรับทั้งคุณแม่และคุณลูกอีกเช่นกัน ควรจะกินวันละ 14.8-30 มิลลิกรัม แต่ถ้าคุณหมอเห็นว่าท่าทางคุณแม่จะได้รับธาตุเหล็กไม่พอแน่ ก็จะให้ธาตุเหล็กชนิดเม็ดเสริมค่ะ

อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ผักโขม ตับ ไข่แดง เนื้อแดง หอย ปลาทะเล ฟักทอง สาหร่ายทะเล งาดำ มะเขือพวง บวบเหลี่ยม

ผักและผลไม้ ที่ขาดหมวดนี้ไม่ได้ ก็เพราะคุณจำเป็นต้องได้รับวิตามินและเกลือแร่อื่นๆ ด้วยไงล่ะ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการดูดซึมธาตุเหล็ก ที่ต้องอาศัยการทำงานของคู่ขาปาท่องโก๋อย่างวิตามินซีร่วมด้วย แคลเซียมต้องจับคู่ทำงานกับฟอสฟอรัส แถมกากใยอาหารยังช่วยเรื่องขับถ่ายของคุณได้ด้วยนะคะ

ผักและผลไม้ที่มีคุณค่าน่าจะลิ้มลอง เช่น แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย สับปะรด ถั่วงอก ถั่วลันเตา เห็ดสด แตงกวา

ถึงจะเป็นช่วงที่กินได้มากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมกินให้ครบทุกหมู่ และเลือกอาหารที่สะอาดด้วยนะคะ

ที่มา
http://www.momypedia.com/

อาหารต้องห้ามสำหรับคนท้อง : ผลไม้หน้าร้อน

ผลไม้หน้าร้อนอดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า
โดย: มัณฑนา

หน้าร้อนที่อุดมผลไม้แบบนี้ ว่าที่คุณแม่อดใจกันหน่อยนะคะ

เข้าหน้าร้อนเต็มตัวแล้ว แม้จะร้อนเหงื่อแตกเหงื่อแตน แต่หลายคนก็อดนึกรักเมืองไทยช่วงนี้ เพราะผลไม้หลากหลายชนิดทะลักทะลายมาสุกงอมให้กินในช่วงนี้พอดี พูดแล้วน้ำลายสอเมื่อนึกถึงทุเรียนหอมหวาน ยิ่งได้น้ำกะทิรสเข้มข้นมาราดพอขลุกขลิก เฮ้อ..เอาเงินแสนมาแลกก็ไม่ยอม ยังมีข้าวเหนียวมะม่วงอีก

ข้าวเหนียวเม็ดสวย ราดหน้ากะทิข้น มะม่วงน้ำดอกไม้สุกหอมหวาน รสชาติละมุนละไมสุดจะหาอะไรเหมือน ทั้งลำใย ขนุน ลิ้นจี่อีก โอ้..เมืองไทย ฉันรักเธอ

แต่.. สำหรับว่าที่คุณแม่ อย่าเพิ่งติดลมบนไปกับผลไม้หน้าร้อนเลยนะคะ(ฮื้อ..ขัดคอ) ช่วงหน้าร้อนนี้ เป็นช่วงที่สูติแพทย์ทั้งหลาย มักจะฝากเตือนว่าที่คุณแม่ ให้ติดดิสเบรกกันไว้มากๆ เพราะช่วงหน้าร้อนทีไร คุณหมอสูติฯท่านต้องรับมือกับคุณแม่ที่มาด้วยความดันสูง คอลเรสเตอรอลที่พุ่งปรี๊ดจนเกิดการวิงเวียน หรือตกใจกับน้ำหนักที่ขึ้นพรวดพราดคุมไม่อยู่ของคุณแม่ พร้อมเสียงสารภาพอ่อยๆไม่รู้เป็นไงค่ะ แพ้ทุเรียน เห็นไม่ได้ ต้องขอกินไว้ก่อนวันละก่อนสัก 2-3 ลูก (ฮ้า..)ทุกที

คุณหมอบอกว่าการกินผลไม้หน้าร้อน ซึ่งมักจะมีรสชาติหวานมันเสียส่วนใหญ่ ผลที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือน้ำหนักตัวคุณแม่ ซึ่งถ้ามากเกินไป หากไม่ส่งผลกับร่างกายคุณแม่โดยตรง เช่น ตามมาด้วยโรคความดัน เบาหวาน อึดอัดก็จะไปส่งผลกับลูก คือทำให้คลอดยาก

ผลไม้หน้าร้อนที่คุณแม่ต้องหลีกเลี่ยง ที่เห็นกันชัดๆก็มีทุเรียน บางกระแสบอกว่าทุเรียนกินแล้วดี เพราะมีสารบางตัวช่วยพัฒนาสมองลูก คุณแม่ก็เลยบุกกินกันใหญ่ เรื่องนี้คุณหมอเสาคนธ์ อัจจิมากร สูติแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลรามาฯ บอกว่า แท้จริงแล้วไม่ส่งผลอะไรกับลูกเลย มีแต่ทำให้เด็กตัวโตมากขึ้น และยังมีแคลอรี่สูงมาก ทำให้คุณแม่อ้วน คุณลูกตัวโตจนคลอดยากค่ะ

มะม่วงสุก นี่ก็ตัวการ แคลอรี่สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แค่มะม่วงดิบก็ปาเข้าไป 60 เปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ ทั้งยังมีรสหวานเพิ่มน้ำตาลเข้าไปอีก ถึงแม้จะเป็นรสชาติที่สวรรค์ประทานก็อดใจไว้ก่อนดีกว่าค่ะ วันละลูก(สำหรับคุณแม่เจ้าเนื้อ)ก็น่าจะพอข้าวเหนียวถอยห่างไปก่อนนะคะ

ลำใยและลิ้นจี่ ก็ใช่ย่อย ลำใยมีแคลอรีสูงถึง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนลิ้นจี่แคลอรี 65 เปอร์เซ็นต์ และทั้งสองชนิดนี้ยังมีรสหวานจัดที่ไม่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์สักเท่าไรกินพอหายอยาก หรือพออร่อยได้ค่ะ ถ้าตั้งหน้าตั้งตากินกันวันละเป็นกิโล ไปลำบากตอนคลอดแน่

ยกมาพอหอมปากหอมคอพอให้เห็นกันค่ะว่า มีผลไม้อะไรบ้างที่ควรหลีกเลี่ยง อ่านถึงตรงนี้ ว่าที่คุณแม่คงนึกตั้งคำถาม "ฮึ..แล้วจะให้ชั้นกินอะไรจ๊ะ นั่นก็ห้าม นี่ก็ห้าม จะให้กินคนเขียนรึไง" โอ๊ะ..โอ๋ อย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจ เรายังมีทางเลือกให้อยู่ค่ะ อย่างพวกมังคุด มะปราง มะละกอ หรือลางสาด ก็ยังเป็นทางเลือกให้คุณแม่อร่อยกับผลไม้หน้าร้อนได้และที่ห้ามก็เฉพาะคุณแม่ที่เจ้าเนื้อ หรือมีโรคภัยใกล้ตัวอยู่แล้วเท่านั้น

ส่วนคุณแม่ที่แข็งแรงดี ไม่อ้วนมาก ก็รับประทานได้ตามปกติ แต่ไม่ควรมากเกินไปเช่นกัน ว่าที่คุณแม่ประเภทเห็นผลไม้หน้าร้อนต้องโดดใส่ ก็เย็นไว้ก่อน อดเปรี้ยวไว้กินหวานทีหลังนะคะ หรือจะว่าไปน่าจะต้องบอกว่า "อดหวานกินเปรี้ยวไปก่อนดีกว่า"

*ข้อมูลจาก ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทย กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข




จาก:
นิตยสารโมเดิร์นมัม

อาหารต้องห้ามสำหรับคนท้อง : อาหารทะเล

Seafood...สูตรอร่อย
โดย: หมูอ้วน

ไปทะเลครั้งไหนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอาหารทะเลสดๆ รสแซ่บๆ นั้น แล้วแบบนี้จะเหมาะกับแม่ท้องหรือเปล่าน้า....

อาหารทะเลนั้นอุดมไปด้วย วิตามิน เกลือแร่ โปรตีน ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมถึงวิตามินบี 1 บี 2 และบี 6 รวมทั้งสารอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณปรุงสุกอย่างถูกวิธี รวมทั้งการล้างทำความสะอาดดีพอหรือเปล่า

ส่วนโทษของอาหารทะเล บ่อยครั้งมาจากการสรรหารับประทานของมนุษย์เราเอง เช่น แซะหอยนางรมจากทะเลมาบีบมะนาวลงไปแล้วกินสดๆ หรืออาหารประเภทกุ้งแช่น้ำปลา ยำไข่แมงดา ส้มตำปูม้า กั้งดอง เรียกว่ากินแบบไม่สุกทั้งนั้น

ที่เด็ดๆ นี่ไม่ได้มีเฉพาะอาหารไทยเท่านั้นนะ ปลาดิบของพี่ยุ่นเอง ถ้ากินไม่ดี เลือกไม่เป็นก็อันตรายเหมือนกัน โดยเฉพาะแม่ท้องอย่าริลองของดิบๆ เป็นอันขาดเชียว

คุณค่าอาหารจากทะเลลึก

- อาหารทะเลจำเป็นอย่างยิ่งต่อการจัดระบบในร่างกายให้สมดุลเวลาท้อง เพราะว่ามีโปรตีนและไขมันชั้นดี แถมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอีกหลายอย่าง

- ส่วนมากแล้วเราจะนึกถึงปลาที่มีโปรตีนและกรดไขมัน โอเมก้า 3 มาเป็นอย่างแรก โดยเฉพาะปลาแซลมอนที่มีกรดไขมัน DHA และ EPA สูงมาก เหมาะกับผู้หญิงและคุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลาย เพราะกรดไขมันชนิดนี้จำเป็นต่อการพัฒนาสมองส่วน Cerebral Cortex และสายตาของทารก ทั้งยังดีต่อหลอดเลือดหัวใจของผู้ใหญ่อีกด้วย

- เป็นแหล่งไอไอดีน ช่วยให้ลูกในครรภ์มีพัฒนาการสมวัย ไม่เสี่ยงต่อโรคเอ๋อ หรือความพิการอย่างอื่น คุณแม่กินอาหารทะเลอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งกำลังดีค่ะ


อันตรายที่ซ่อนอยู่ ... แม่ท้องต้องระวัง!!!

- เหล่าปรสิตและพยาธิตัวตืดมีอยู่มากมายในอาหารทะเล การแช่ช่องแข็งหรือการทำให้สุกจะสามารถฆ่าปรสิตได้ จึงไม่แปลกเลยที่เมนูซูชิของญี่ปุ่นนิยมใช้ปลาแช่แข็งมากกว่าปลาสดๆ เพื่อความปลอดภัย แต่แม่ท้องก็ไม่ควรเสี่ยงกินอยู่ดี

- แม่ท้องควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอย กุ้ง ปู ที่ไม่สุก เพราะจะเต็มไปด้วยไวรัสและแบคทีเรีย เช่น Salmonella Vibrio parahemolyticus ฯลฯ ถ้าไม่สบายตอนตั้งท้องจะยุ่งเอา

- ปลาที่มาจากทะเลอย่างปลาทู ปลาทูน่า สะอาดกว่าปลาที่มาจากแม่น้ำหรือทะเลสาบ และหากสะดวกแบบกระป๋องควรกินชนิดที่อยู่ในน้ำเกลือจะดีกว่า

- ให้กินปลาตัวเล็ก อย่ากินปลาตัวใหญ่ๆ อย่าง ปลาคิง แมคคอเรียล ปลาฉนาก ปลาฉลาม เพราะมักมีสารปรอทปนเปื้อนสูง และอาจส่งผลกระทบกับระบบประสาทของเจ้าหนูที่อยู่ในครรภ์ด้วย ปริมาณที่กินได้ไม่ควรเกินอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

- สัตว์ทะเลที่จับมาจากธรรมชาติจะมีสารพิษตกค้างน้อยกว่าสัตว์ทะเลเพาะเลี้ยง

- อย่ากินปลาชนิดเดียวกันซ้ำเกิน 2 ครั้งต่ออาทิตย์ เพราะอาจทำให้เกิดสารพิษสะสมตกค้างได้



แม่ท้องปราบเชื้อโรค

- ใช้มีดคมๆ บั้งปลา รอจนเนื้อปลาเป็นสีขาวทึบ ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งใส หรือไม่เกล็ดก็ต้องเริ่มปริแยกตัวออกจากกัน เมื่อดูว่าสุกแล้วก็ให้ปล่อยเอาไว้อีก 3-4 นาที เพื่อให้แน่ใจ

- กุ้ง ปู สังเกตได้ง่ายเพราะจะเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มเมื่อสุกเรียบร้อย ส่วนหอยมักจะเปลี่ยนเป็นสีครีมนม เช่น หอยแครง หอยตลับ

- เมื่อซื้อปลาสดมาให้แช่ตู้เย็นและทำอาหารทันทีภายใน 48 ชั่วโมง แต่ถ้าคิดจะเก็บไว้นานกว่านั้น ควรแช่แข็งไว้ในช่องแช่แข็ง (ช่องฟรีส) ส่วนกุ้งให้เด็ดหัวปอกเปลือกก่อนที่จะแช่แข็ง



แพ้อาหารทะเล..!!

หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียน มีไข้ต่ำๆ ท้องเสีย คันตามแขนขา หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ให้งดอาหารทะเลที่คิดว่าเป็นตัวการ ดื่มน้ำเยอะๆ อย่าเกา รอดูอาการ หากไม่ลดลงให้รีบไปพบแพทย์

สาหร่าย ผลิตภัณฑ์จากทะเล

สาหร่ายอบกรอบที่กำลังโด่งดัง เป็นขนมขบเคี้ยวของชอบยอดนิยม เพราะอร่อยแถมเชื่อกันว่ามีประโยชน์ด้วย แต่หยุดก่อน..!! เห็นทีเราต้องกลับมาคิดเสียใหม่ เนื่องจากสาหร่ายอบกรอบนี้อาจมีวิธีการผลิตที่ไม่สะอาด (ไม่มี อ.ย) แถมมีการเติมรสชาติให้จัดจ้านเกินความจำเป็น เช่น รสต้มยำ รสบาร์บีคิว เหล่านี้ล้วนมีส่วนผสมของเกลือและผงชูรส ทำให้ไตทำงานหนัก และส่งผลให้แม่ท้องมีอาการบวมมากขึ้นได้ แนะนำให้ควรเปลี่ยนเป็นเมนูแกงจืดสาหร่ายดีกว่า หรือไม่ก็กินผลไม้เป็นของว่างยามหิวแทน

ส้มตำปูกรอบ (15 minutes)

เตรียมตัว : - ปูม้าตัวเล็กชุบแป้งทอดกรอบ (หรือปลาเล็กปลาน้อยทอดกรอบ) มะละกอดิบซอย แครอตซอย ถั่วฝักยาว ถั่วลิสง มะเขือเทศสีดา กระเทียม พริก มะนาว น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ

ลงมือทำ : - ง่ายๆ ตามแบบฉบับส้มตำค่ะ ตั้งครกทุบกระเทียม พริก ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ ตามด้วยมะนาว น้ำปลา พริก น้ำตาลปี๊บตามชอบ ตำให้ละลายเข้ากัน ตามด้วยเส้นมะละกอและแครอต ตำต่อจนเข้าเนื้อ

: - โรยถั่วลิสง ตักราดปูกรอบที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ อร่อย จัดจ้าน คลายอาการแก้แพ้ท้องได้ดี

แซลมอนน้ำมันมะกอก (15 minutes)

เตรียมตัว : - แซลมอนหมักเกลือกับไข่ไก่นานครึ่งชั่วโมง แป้งขนมปัง น้ำมันมะกอก ผงออริกาโน มะนาว และสลัดสับปะรด (สับปะรด + ไข่ไก่ต้มสุก + แคนตาลูป + น้ำสลัด)

ลงมือทำ : - ตั้งกะทะเทน้ำมันมะกอก รอไฟร้อนปานกลาง นำแซลมอนที่หมักแล้วชุบแป้งขนมปังลงทอด รอฟูสุกเหลืองทั้งสองด้าน

- ยกขึ้นรอให้สะเด็ดน้ำมัน จัดวางในจาน โรยออริกาโน เคียงด้วยมะนาวฝานและสลัดสับปะรด มื้อนี้โปรตีนและไขมันชั้นดีสูง ลูกมีพัฒนาการดี

P.S : หากหาปลาแซลมอนไม่ได้ ลองเปลี่ยนเป็นปลากะพง ทอดกับน้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันเมล็ดทานตะวันก็ได้ค่ะ


จาก:
นิตยสารโมเดิร์นมัม

สูตรเด็ด...บำรุงน้ำนม

สูตรเด็ด...บำรุงน้ำนม
โดย: ใบเหลียง

นอกจากการคลอดลูกด้วยวิถีแห่งธรรมชาติแล้ว การให้นมแม่แก่ลูกน้อยยังเป็น กระบวนการสำคัญและมีความหมายที่สุดอีกสิ่งหนึ่งที่คนเป็นแม่ไม่ควรพลาด แล้วรู้มั้ยล่ะ ว่าถ้าเลือกกินอาหารดีๆมีประโยชน์ถูกหลักแล้วล่ะก็ ช่วยเรียกน้ำนมแม่ได้ดีนักเชียว!

เพราะแม่ที่ให้นมลูกนั้น ร่างกายของคุณจำเป็นต้องการอาหารที่มีคุณค่าและ พลังงานอย่างมากไม่น้อยไปกว่าตอนตั้งครรภ์ คุณจึงต้องการกินอาหารที่ครบ 5 หมู่ กินให้ ครบทั้ง 3 มื้อ นอกจากนั้นยังควรมีอาหารว่างที่มีประโยชน์เพิ่มด้วย

และนอกจากอาหาร 5 หมู่ที่สำคัญโดยเฉพาะโปรตีนแล้วยังมีแร่ธาตุต่างๆอีกที่คุณ แม่ต้องการมากในช่วงให้นมลูก เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามิน รวมทั้ง น้ำที่แม่ ควรจะดื่มเยอะๆ เพราะช่วงเวลาที่ให้นมลูกร่างกายของคุณสูญเสียน้ำไปมากเหมือนกันค่ะ

ปริมาณสารอาหารที่แม่ให้นมลูกควรได้รับต่อวัน
สารอาหาร หน่วย 6 เดือนแรก 6 เดือนหลัง
พลังงาน กิโลแคลอรี เพิ่ม 500 เพิ่ม 500
โปรตีน กรัม 65 62
โฟเลต ไมโครกรัม 280 260
แคลเซียม มิลลิกรัม 1,200 1,200
ฟอสฟอรัส มิลลิกรัม 1,200 1,200
แมกนีเซียม มิลลิกรัม 355 340
เหล็ก มิลลิกรัม 15 15
สังกะสี มิลลิกรัม 19 16
ไอโอดีน มิลลิกรัม 200 200
ซิลิเนียม ไมโครกรัม 75 75
วิตามินจากผักและผลไม้ต่างๆ

พลังงาน: ให้กินเพิ่มจากปริมาณที่เคยได้รับ ซึ่งจะช่วยให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติในช่วงที่มิได้ตั้งครรภ์หรือให้นมลูก

ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม

สารอาหาร ขิงแก่ หัวปลี บวบ ตำลึง เห็ดฟาง ฟักทอง
พลังงาน/กิโลแคลอรี 25 25 18 35 28 43
โปรตีน/กรัม 0.4
1.4 0.7 3.3 3.4 1.9
ไขมัน/กรัม 0.6
0.2 0.7 0.4 0.2 0.2
คาร์โบไฮเดรต/กรัม 4.4
4.4 2.2 4.5 3.2 8.5
แคลเซียม/มิลลิกรัม 18 28 3 126 10 8.50
ฟอสฟอรัส/มิลลิกรัม 22
40 3 30 18 17
เหล็ก/มิลลิกรัม 1.2 0.7 0.4 4.6 0.93 0.69
วิตามินบี1/มิลลิกรัม 0.02 0.01 0.37 0.17 0.07 0.06
วิตามินบี2/มิลลิกรัม 0.02
0.02 0.05 0.13 0.04 0.06
ไนอาซิน/มิลลิกรัม 1
0.6 0.2 1.2 3 1.1
วิตามินซี/มิลลิกรัม 1
8.00 15 13.0 5 6
เบต้า-แคโรทีน/ไมโครกรัม -
18.31 1.1 699.88 - 225
ใยอาหาร/กรัม -
4.6 - 2.2 1.40 1.80


เมนูบำรุงน้ำนม

แกงเลียงผักรวม
: ตำกุ้งแห้งให้ละเอียด แยกพักไว้ ตำพริกไทยกับหอมแดงและกะปิ(1ช้อน ชา)เข้าด้วยกันตามด้วยกุ้งแห้งป่น ต้มน้ำให้เดือด ใส่เครื่องแกงลงไปคน ให้ละลาย ตามด้วยกุ้งสด และใส่ผัก(เห็ด ตำลึง ฟักทอง บวบ หัวปลี) ที่หั่นไว้ตามลงไป โดยเลือกใส่ผักที่สุกง่ายเป็นลำดับสุดท้าย ปรุงรสและโรยใบแมงลัก ก่อนยกขึ้น

น้ำขิง:
ใช้ขิงสดผ่าเป็นแว่นบางๆ 1 หยิบมือชงกับน้ำร้อนเดือดจัดๆปล่อยทิ้งไว้ ให้เย็น ผสมน้ำตาล 1-2 ช้อนชาดื่มบ่อยๆ


ไก่อบขิง:
นำขิงแก่หั่นเป็นแผ่นบางๆทุบให้แหลก ต้มในน้ำเดือด(น้ำไม่ต้องเยอะ) จนน้ำเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม เติมน้ำมัน 2-3 ช้อนโต๊ะผัดต่อสักครู่ใส่ ไก่ลงไปคนให้เข้ากัน เติมเกลือแล้วปิดฝาทิ้งไว้ 20 นาทีรอให้น้ำงวด ยกขึ้น


ที่มา
ข้อมูลอ้างอิง:มหัศจรรย์ผัก108 โดยมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล/นมและอาหารทารก หลักและวิทยาการก้าวหน้า โดย จงจิต อังคทะวานิช
จาก: โมเดิร์นมัม

ปัญหาทั่วไปในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และวิธีการแก้ไข

ปัญหาทั่วไปในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และวิธีการแก้ไข

หัวนมเจ็บ แตก หรือมีเลือดไหล
ตามปกติ หัวนมเจ็บ แตก หรือมีเลือดไหลเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกดูดนมไม่ถูกวิธีหรือท่าทางไม่ถูกต้อง หรืออาจเป็นเพราะคุณใช้เครื่องปั๊มนมไม่ถูกวิธี กุมารแพทย์สามารถช่วยแนะนำเทคนิคการให้ลูกกินนมแม่ ให้คุณได้ทราบอย่างละเอียดมากขึ้น

ท่อน้ำนมตัน
ท่อน้ำนมตันมีสองชนิด:

ชนิดแรกจะเป็นจุดขาวเล็กๆ ที่ปลายหัวนม ซึ่งตามปกติคุณจะสามารถใช้เล็บสะกิดออกเมื่อผิวบริเวณนั้นนุ่มขึ้นหลังจากให้นม ชนิดที่สองจะเป็นก้อนไตในเต้านมซึ่งผิวหนังบริเวณรอบๆ จะเกิดการอักเสบ โดยการอุดตันนี้เป็นสัญญาณเริ่มต้นของอาการเต้านมอักเสบ (mastitis)

ถ้าเต้านมอักเสบ คุณต้องปรึกษาพยาบาลผดุงครรภ์หรือสูติแพทย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการเต้านมอักเสบรุนแรงขึ้น และในะหว่างนั้น คุณแม่ควรปฏิบัติดังนี้

- ให้ลูกกินนมบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้เพื่อระบายน้ำนมส่วนเกินออก
- ต้องแน่ใจว่าลูกดูดนมถูกวิธี
- ใช้เครื่องปั๊มนมเพื่อระบายน้ำนมออกให้หมดหลังจากให้ลูกกินนมแล้ว และกินยาไอบูโพรเฟนเพื่อช่วยให้อาการปวดลดน้อยลง การนวดเต้านมเบาๆ และใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นๆ ประคบจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นด้วยเช่นกัน


ฝ้าขาว
ฝ้าขาวเป็นการติดเชื้อราในทารกที่มักเกิดในบริเวณอวัยวะเพศและในปาก และสามารถแพร่ไปยังเต้านมของคุณด้วยขณะที่ลูกกินนม ถ้าลูกมีฝ้าขาว คุณจะสังเกตเห็นจุดขาวๆ ในปากและบนเต้านมของคุณ จุดเหล่านี้อาจแตกเป็นสะเก็ดและคัน รวมทั้งคุณอาจรู้สึกเจ็บที่เต้านม ถ้าคิดว่าคุณหรือลูกมีฝ้าขาว ควรไปพบแพทย์ทันที โดยแพทย์อาจให้ยาป้องกันเชื้อราชนิดครีมสำหรับลูกคุณ ทั้งคุณแม่และลูกต้องได้รับการรักษาในเวลาเดียวกันเพื่อป้องกันการติดเชื้ออีก หลังจากนั้น คุณแม่สามารถให้ลูกกินนมต่อได้ แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย


นมคัด
หลังจากคลอดลูก 2-3 วัน เต้านมของคุณอาจเต็ม นุ่ม และแน่น โดยหัวนมจะราบลง เต้านมอาจขยายใหญ่ไปถึงรักแร้และคุณอาจมีไข้เล็กน้อย ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ ‘หลั่ง’ น้ำนม อาการนี้จะทำให้คุณรู้สึกเจ็บ แต่ไม่เป็นอันตรายและตามปกติจะหายไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เจ็บน้อยลง คุณควรบีบน้ำนมส่วนหนึ่งออกโดยใช้มือหรือเครื่องปั๊มก่อนที่จะให้ลูกกินนม และใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบหรืออาบน้ำเพื่อช่วยให้ความเจ็บปวดลดลงและผ่อนคลายขึ้นระหว่างการให้ลูกกินนม


น้ำนมไหลซึม
น้ำนมอาจไหลซึมถ้ามีปริมาณมากจนล้น หรือมีการกระตุ้น ‘กลไกการหลั่งน้ำนม ( L et down reflex)’ ตามปกติ เต้านมจะมีน้ำนมไหลออกมาก็ต่อเมื่อลูกดูดนม แต่บางครั้งเพียงแค่ได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกก็ทำให้เต้านม ‘หลั่ง’ น้ำนมออกมาแล้ว ยิ่งคุณแม่ให้ลูกกินนมบ่อยเท่าใด น้ำนมก็จะไหลซึมออกน้อยเท่านั้น คุณแม่ส่วนใหญ่จะใส่แผ่นซับน้ำนมไว้ด้านในของเสื้อชั้นใน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำนมไหลซึมออกมา และคุณอาจพบว่าปัญหานี้แทบจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยหลังจากให้ลูกกินนมแม่ผ่านไปแล้ว 7-10 สัปดาห์


ปัญหาเกี่ยวกับน้ำนม:
น้ำนมน้อยเกินไป
ยิ่งลูกกินนมแม่มากเท่าไหร่ ร่างกายคุณก็จะยิ่งสร้างน้ำนมมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นปริมาณน้ำนมที่น้อยเกินไปจึงเป็นสัญญาณระบุว่าลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ร่างกายจึงผลิตน้ำนมน้อย ถ้าคุณกังวลว่าลูกอาจไม่ได้รับน้ำนมเพียงพอ ลองปรึกษาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์

หัวนมเจ็บ แตก หรือมีเลือดไหล
ตามปกติ หัวนมเจ็บ แตก หรือมีเลือดไหลเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกดูดนมไม่ถูกวิธีหรือท่าทางไม่ถูกต้อง หรืออาจเป็นเพราะคุณใช้เครื่องปั๊มนมไม่ถูกวิธี กุมารแพทย์สามารถช่วยแนะนำเทคนิคการให้ลูกกินนมแม่ ให้คุณได้ทราบอย่างละเอียดมากขึ้น

ท่อน้ำนมตัน:
ท่อน้ำนมตันมีสองชนิด
ชนิดแรกจะเป็นจุดขาวเล็กๆ ที่ปลายหัวนม ซึ่งตามปกติคุณจะสามารถใช้เล็บสะกิดออกเมื่อผิวบริเวณนั้นนุ่มขึ้นหลังจากให้นม ชนิดที่สองจะเป็นก้อนไตในเต้านมซึ่งผิวหนังบริเวณรอบๆ จะเกิดการอักเสบ โดยการอุดตันนี้เป็นสัญญาณเริ่มต้นของอาการเต้านมอักเสบ (mastitis) ถ้าเต้านมอักเสบ คุณต้องปรึกษาพยาบาลผดุงครรภ์หรือสูติแพทย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการเต้านมอักเสบรุนแรงขึ้น และในะหว่างนั้น คุณแม่ควรปฏิบัติดังนี้

- ให้ลูกกินนมบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้เพื่อระบายน้ำนมส่วนเกินออก
- ต้องแน่ใจว่าลูกดูดนมถูกวิธี
- ใช้เครื่องปั๊มนมเพื่อระบายน้ำนมออกให้หมดหลังจากให้ลูกกินนมแล้ว และกินยาไอบูโพรเฟนเพื่อช่วยให้อาการปวดลดน้อยลง การนวดเต้านมเบาๆ และใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นๆ ประคบจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นด้วยเช่นกัน

น้ำนมมากเกินไป
การผลิตน้ำนมมากเกินไปเป็นเรื่องปกติในช่วง 2-3 วันแรก โดยในช่วงเริ่มต้น ร่างกายของคุณจะผลิตน้ำนมปริมาณมากเพื่อให้ลูกสามารถกินนมได้เยอะๆ และจะเริ่มคงที่เมื่อลูกดูดนมได้ดีขึ้น รวมถึงควบคุมปริมาณน้ำนมได้เองแล้ว แต่ถ้าลูกยังดูดนมไม่ถูกวิธี ร่างกายแม่ก็จะควบคุมน้ำนมไม่ได้ ทำให้ยังคงผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกต้องการกินบ่อยขึ้น นอกจากนี้ น้ำนมที่มากเกินไปยังเกิดจากกลไกการหลั่งน้ำนมที่ทำงานมากเกินไป หรือความไม่สมดุลระหว่างน้ำนมส่วนหน้ากับน้ำนมส่วนหลัง ถ้าร่างกายยังผลิตน้ำนมมากเกินไปหลังจากที่พฤติกรรมการกินของลูกคงที่แล้ว คุณสามารถบีบน้ำนมเก็บไว้ให้ ลูกกินภายหลังได้ อย่างไรก็ตาม ระวังอย่าบีบน้ำนมเก็บไว้มากเกินไปหรือบีบระหว่างการให้นม เพราะจะทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้พอกับความต้องการที่มากขึ้น

นมไหลพุ่ง
คุณแม่บางคนอาจมีน้ำนมไหลพุ่งแรงซึ่งเกิดจากผลข้างเคียงของการผลิตน้ำนมมากเกินไปหรือเป็นการไหลพุ่งเองไม่เกี่ยวกับสาเหตุอื่น ซึ่งทำให้ลูกเบือนหน้าหนีและเป็นเหตุให้เด็กบางคนไม่ยอมกินนมแม่ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ การบีบน้ำนมส่วนเกินออกก่อนที่จะให้ลูกกินนมจะช่วยแก้ปัญหาได้ หรือคุณอาจลองให้ลูกดูด แล้วใช้ผ้าซับน้ำนมส่วนแรกที่ไหลพุ่ง เมื่อน้ำนมไหลช้าลงเล็กน้อยแล้ว จึงให้ลูกดูดอีกครั้ง


ปัญหาเกี่ยวกับนิสัยการกินของลูก:
ลูกไม่ยอมกินนมแม่
โดยทั่วไปวิธีการที่ทำให้คุณรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นคือลูกไม่ยอมกินนมแม่ ซึ่งอาจเป็นเพราะลูกคันเหงือกเมื่อฟันเริ่มขึ้น หรือหายใจไม่สะดวกเนื่องจากเป็นหวัด ถ้าลูกไม่ยอมกินนมแม่ ลองให้นมตอนที่ลูกง่วงนอนมากๆ และพยายามอย่าให้มีเสียงรบกวนหรือสิ่งอื่นที่จะดึงดูดความสนใจของลูกได้ หรือคุณแม่อาจลองเปลี่ยนท่าให้นมลูก หรือแม้แต่ให้ลูกกินในขณะเคลื่อนที่ เพราะการโยกตัวจะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นได้ นอกจากนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ เช่น การติดเชื้อในหูหรือฝ้าขาว


ลูกกินนมเพียงข้างเดียว
บางครั้งลูกจะชอบกินนมเพียงข้างเดียว ซึ่งไม่เป็นอันตรายกับลูก แต่คุณอยากให้เต้านมทั้งสองข้างผลิตน้ำนมปริมาณเท่าๆ กัน ถ้าลูกเป็นคนช่างเลือก ลองให้ลูกกินนมข้างที่เขาไม่ชอบในท่าเดียวกับข้างที่ลูกยอมกิน ดังนั้น ถ้าคุณกำลังอุ้มลูกกินนมข้างซ้าย ให้เลื่อนตัวลูกมากินนมข้างขวาแทนที่จะหมุนตัวลูกมาอีกด้าน และใช้หมอนรองใต้แขนคุณเพื่อไม่ให้รู้สึกปวดเมื่อย


ลูกกัดหัวนม
การกัดหัวนมเป็นเรื่องไม่สนุกเลยสำหรับคุณแม่ โดยเฉพาะช่วงที่ลูกเริ่มมีฟันขึ้น คุณแม่ควรหายางกัดให้ลูกสักอันเพื่อลดอาการคันเหงือก แต่ถ้าลูกยังกัดหัวนมอยู่ ให้จับหน้าลูกชิดเต้านม เพื่อให้หายใจไม่สะดวก แล้วลูกจะเปิดปากหายใจแทน ถ้าลูกกัดหัวนมเพราะคิดว่าการทำให้แม่ร้องเจ็บนั้นเป็นเรื่องสนุก คุณต้องสอนลูกอย่างหนักแน่น ว่า ‘ อย่ากัดนะ ’ แล้ววางลูกลงสักครู่ ก็จะทำให้ลูกเรียนรู้ได้

ที่มา
http://www.dumex.co.th/feeding_and_nutrition/breastfeeding/article/common_breastfeeding_problems_and_solutions

วิธีบีบน้ำนมและการเก็บนมแม่ต้องทำอย่างไร

วิธีบีบน้ำนมและการเก็บนมแม่ต้องทำอย่างไร

ทำไมคุณแม่จึงควรบีบน้ำนมเก็บไว้
การบีบน้ำนมเก็บไว้เหมาะเป็นอย่างยิ่งในกรณีที่คุณไม่สามารถให้ลูกกินนมได้ตามต้องการ หรือคุณแม่ต้องการพักหรือต้องการให้ลูกทานอาหารตามวัยสำหรับทารกและเด็กเล็ก รวมถึงกรณีที่คุณแม่ไม่สามารถอยู่กับลูกได้ในเวลานั้น แต่ต้องการให้ลูกได้รับสารอาหารจากนมแม่ เหตุผลที่ดีอีกประการหนึ่งก็คือเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้สามีได้สร้างความผูกพันกับลูก โดยมีส่วนร่วมในการให้นมลูก


การบีบน้ำนมด้วยมือ
คุณแม่ควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเต้านมหรืออาบน้ำ หรือนวดเต้านมเพื่อบรรเทาอาการคัดก่อนเริ่มบีบน้ำนม เมื่อล้างมือและทำความสะอาดภาชนะที่จะเก็บน้ำนมโดยการฆ่าเชื้อแล้ว คุณก็เริ่มบีบน้ำนมได้

- ประคองเต้านมด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วนวดคลึงไล่ตั้งแต่ส่วนบนลงมา และคลึงรอบเต้านมรวมทั้งส่วนล่างด้วย
- ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้กดบนบริเวณรอบลานหัวนม (บริเวณที่เป็นสีเข้มรอบหัวนม) เบาๆ
- บีบพร้อมกันแล้วกดเข้าหาตัวเพื่อให้นมไหลออก แต่ควรระวังน้ำนมพุ่งกระจายออกมา

การบีบน้ำนมด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า
การใช้เครื่องปั๊มนมช่วยให้คุณแม่บีบน้ำนมได้เร็วขึ้นและไม่เหนื่อยเท่าการบีบด้วยมือ แต่คุณแม่ต้องใช้น้ำอุ่นประคบที่เต้านมหรือนวดก่อนเพื่อลดอาการคัด และต้องแน่ใจว่าเครื่องปั๊มนมปราศจากเชื้อโรคก่อนนำไปใช้ โดยการบีบน้ำนมด้วยเครื่องควรใช้เวลาประมาณ 15 - 45 นาทีและไม่ควรทำให้คุณรู้สึกเจ็บที่เต้านม แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับเครื่องปั๊มที่คุณใช้ด้วย


การเก็บน้ำนมที่บีบออก
คุณแม่สามารถเก็บน้ำนมไว้โดยใส่ไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาหรือช่องแช่แข็ง ส่วนน้ำนมที่นำมาอุ่นให้ร้อนแล้วแต่ไม่ได้ใช้นั้น ควรทิ้งทันที และอย่าลืมเขียนวันที่ที่บีบน้ำนมเก็บไว้ด้วย โดยน้ำนมส่วนใหญ่จะเก็บได้ประมาณ:

- 72 ชั่วโมงในตู้เย็นช่องธรรมดา
- หนึ่งเดือนในช่องแช่แข็งของตู้เย็นแบบประตูเดียว
- สามเดือนในช่องแช่แข็งของตู้เย็นแบบสองประตู (แม้ว่าจำนวนแอนติบอดี้ในน้ำนมจะลดลงแล้วก็ตาม)

หากต้องการละลายน้ำนมที่แช่แข็ง ให้วางไว้ในน้ำร้อนจนกว่าจะละลายจนหมด ตรวจดูอุณหภูมิก่อนที่จะให้ลูกกินและใช้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าอุ่นนมในไมโครเวฟเพื่อให้ละลายเนื่องจากจะเป็นการทำลายสารอาหาร


ที่มา
http://www.dumex.co.th/feeding_and_nutrition/breastfeeding/article/how_do_i_express_and_store_breast_milk

ควรจะให้ลูกกินนมบ่อยแค่ไหน

ควรจะให้ลูกกินนมบ่อยแค่ไหน

คำตอบอยู่ที่ตัวลูก
อย่าพยามยามยึดตารางเวลาการกินนมแม่ในช่วงเริ่มต้น แต่ควรให้ลูกกินนมตามความต้องการ เพราะจะช่วยตัดสินว่าลูกกินนมเพียงพอหรือยังได้ดีที่สุด ลองสังเกตดู แล้วพฤติกรรมการกินนมของลูกจะปรากฎให้เห็นเอง คุณไม่จำเป็นต้องให้นมลูกเป็นเวลา เพราะอาจทำให้ลูกทำตามเป็นกิจวัตรประจำวัน ก่อนที่คุณจะรู้ตัว


การให้ลูกกินนมบ่อยๆ
ทารกแรกเกิดจะต้องการกินนมปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง คือประมาณทุก 2-3 ชั่วโมงในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากนมแม่ย่อยง่ายมากและกระเพาะอาหารของลูกยังเล็กอยู่ ที่สำคัญคือต้องให้ลูกกินนมมื้อดึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสัปดาห์แรกๆ เนื่องจากลูกต้องการอาหารและอีกเหตุผลหนึ่งคือเพื่อรักษาปริมาณน้ำนมให้มีอยู่ คุณแม่หลายคนรู้สึกกังวลว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ ถ้าลูกมีพลังงานเต็มเปี่ยมและรู้สึกตื่นตัว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ถ้ายังกังวล คุณอาจดูคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในหัวข้อข้อมูลและคำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริง ได้ที่นี่


ความต้องการของลูกที่เพิ่มมากขึ้น
เมื่อลูกโตขึ้น เขาอาจดูดนมนานขึ้นแต่ไม่ถี่เท่าช่วงแรกๆ เว้นแต่ว่าจะอยู่ในช่วงโตเร็ว ยิ่งลูกดูดนมมากเท่าใด คุณก็จะยิ่งมีน้ำนมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น อย่าตกใจถ้าดูเหมือนว่าลูกกินนมตลอดเวลา เพราะร่างกายของคุณจะปรับตัวเพื่อให้มีนมตามที่ลูกต้องการ



ที่มา
http://www.dumex.co.th/feeding_and_nutrition/breastfeeding/article/how_often_should_i_breastfeed

ลูกได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่

สัญญาณบ่งบอกว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอ
โดยทั่วไป ถ้าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอ เขาจะคายหัวนมออกเมื่ออิ่มแล้ว แต่บางครั้ง ลูกอาจหยุดดูดระหว่างที่กินนมแม่ ดังนั้นจึงควรให้เวลาลูกตัดสินใจว่าพอหรือไม่

คุณแม่อาจสังเกตุว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอได้จาก
1. ลูกมีท่าทางพอใจหลังจากเวลาการกินนมใกล้สิ้นสุดลง
2. ลูกมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลังผ่านไปสองสัปดาห์แรก
3. คุณไม่รู้สึกเจ็บที่เต้านมและหัวนมจนเกินไป
4. รู้สึกว่าเต้านมโล่งและเบาขึ้นหลังจากให้ลูกกินนม
5. ลูกมีสีผิวที่แสดงถึงการมีสุขภาพดีและผิวตึงกระชับโดยเมื่อกดลงไปผิวลูกจะเด้งขึ้น
6. หลังจากผ่านไปสองถึงสามวันแรก ลูกควรจะฉี่อย่างน้อยหกครั้งต่อวัน
7. หลังจากนั้น 2-3 วัน ลูกควรจะอึอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน โดยมีสีเหลืองหรือสีคล้ำ และสีเริ่มอ่อนลงหลังจาก 5 วันผ่านไป


สัญญาณบ่งบอกว่าลูกอาจต้องการนมเพิ่ม
หากลูกไม่ได้รับน้ำนมเพียงพอ คุณอาจสังเกตเห็นอาการต่อไปนี้
1. ลูกดูไม่กระปรี้กระเปร่าและร้องกวนตลอดเวลา รวมทั้งหงุดหงิดหลังจากกินนมแล้ว นอกจากนี้ยังดูเหมือนลูกจะไม่พอใจและไม่ร่าเริง
2. ขณะกินนม ลูกดูดเสียงดังจ๊วบๆ หรือคุณไม่ได้ยินเสียงกลืน ซึ่งแสดงว่าลูกดูดนมไม่ถูกวิธี อ่าน เคล็ดลับเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ที่นี่
3. สีผิวของลูกเหลืองขึ้น
4. ผิวลูกยังดูย่นอยู่หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
5. หากคุณกังวลว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอหรือไม่ ลองให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้น และควรอุ้มลูกไว้แนบตัว ถ้าลูกยังอยากกินนมอีก เขาจะหันหน้าเข้าหาเต้านมเอง
6. หลังจากกินนมแล้วลูกยังหิวอยู่หรือไม่ บางครั้งคุณแม่อาจพบว่าลูกยังไม่อิ่มแม้จะให้นมถี่ขึ้นแล้ว หากเป็นกรณีนี้ คุณควรปรึกษากุมารแพทย์
7. เมื่อลูกอายุเกิน 4 เดือนก็ถึงเวลาที่เขาอาจพร้อมที่จะเริ่มให้อาหารตามวัยสำหรับทารกและเด็กเล็กคุณแม่สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาณบ่งบอกที่ควรรู้ในหัวข้อการให้อาหารตามวัยสำหรับทารกและเด็กเล็กได้ที่นี่

ที่มา
http://www.dumex.co.th/feeding_and_nutrition/breastfeeding/article/Is_my_baby_getting_enough_milk

เคล็ดลับที่ทำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ


เคล็ดลับที่ทำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ
เคล็ดลับต่อไปนี้จะช่วยให้คุณแม่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

- นั่งให้สบายบนเก้าอี้ที่มีพนักพิง
- อุ้มลูกไว้แนบชิดและพยายามให้ศีรษะ ไหล่ และตัวลูกอยู่ในแนวตรง
- ให้จมูกของลูกอยู่ตรงบริเวณหัวนม แล้วใช้นิ้วเขี่ยปากเบาๆ
- เมื่อลูกอ้าปากกว้าง ให้อุ้มลูกเข้าหาเต้านม (ไม่ใช่ยื่นตัวคุณเข้าหาลูก)
- คุณจะรู้ว่าลูกดูดนมถูกวิธีหรือไม่จากการสังเกตริมฝีปากล่างซึ่งควรเผยอออก และ ส่วนเดียวที่คุณจะมองเห็นได้คือส่วนที่อยู่เหนือริมฝีปากบนที่อยู่บริเวณลานหัวนม (บริเวณที่เป็นสีเข้มรอบหัวนม) และคุณแม่ต้องคอยฟังเสียงกลืนของลูกด้วย
- ถ้าลูกเอามือปัดป่ายไปมาอยู่เสมอ ให้ใช้ผ้าห่อตัวลูกไว้เพื่อให้แขนแนบอยู่ข้างลำ ตัว

อย่าเพิ่งตกใจถ้าลูกหยุดดูดนมเป็นครั้งคราว เพราะเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายตัวขณะที่ลูกกินนม บางที อาจเป็นเพราะท่านั่งของคุณหรือวิธีการดูดนมของลูกที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นเพราะท่าให้นม คุณอาจผ่อนคลายด้วยการวางลูกไว้บนหมอนสำหรับให้นม คุณสามารถเรียนรู้วิธีการให้นมลูกและท่าทางต่างๆที่เหมาะสำหรับคุณแม่และลูกน้อยได้จาก รูปต่อไปนี้ และในไม่ช้าคุณก็จะสามารถเรียนรู้ท่าทางสบายๆ ที่เหมาะสำหรับตัวคุณและลูกได้ หากคุณแม่พบปัญหาลูกดูดนมไม่ถูกวิธี ลองปรึกษาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ หรืออ่านข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อรับทราบข้อเสนอแนะที่มีประโยชน์ได้

ที่มา
http://www.dumex.co.th/feeding_and_nutrition/breastfeeding/article/how_do_i_breastfeed

ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีอะไรบ้าง

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ประโยชน์สำหรับลูกน้อย:
น้ำนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ลูกต้องการสำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของการเริ่มต้นชีวิต เนื่องจากมีสารอาหารพิเศษที่เรียกว่าพรีไบโอติก ซึ่งเป็นแบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่มีประโยชน์ แบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ช่วยให้ทารกเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข สุขภาพดี และพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งรอบตัว และยังมีกรดไขมันที่ช่วยพัฒนาสมองของลูกด้วย


เหตุใดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงดีสำหรับทารก
1. นมแม่เป็นสารอาหารที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง
2. มีสารอาหารครบถ้วนและแอนติบอดี้ที่จำเป็นต่อร่างกายของลูกน้อย
3. การวิจัยระบุว่านมแม่ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานและลูคีเมียในเด็ก
4. การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและหูและการ แพ้ต่างๆ เช่น หอบหืดและผื่นผิวหนังอักเสบ
นอกจากนี้ การวิจัยยังแนะนำด้วยว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีระดับความดันเลือดที่ดีกว่าเด็กทั่วไป และมีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคอ้วนในผู้ใหญ่น้อยกว่าเด็กที่กินนมวัว


เพราะเหตุใดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงดีสำหรับคุณ
1. น้ำนมแม่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยังมีอุณหภูมิที่เหมาะสมคงที่อยู่เสมอ
2. เมื่อคุณให้ลูกกินนมแม่ ร่างกายของคุณจะหลั่งฮอร์โมนออกซิโตซิน หรือที่เรียกว่าฮอร์โมนแห่งความรัก ( love hormone) ซึ่งช่วยสร้าง ความผูกพันกับลูก
3. คุณแม่ที่ให้ลูกกินนมของตนจะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ก่อนวัยหมดประจำเดือน รวมถึงภาวะกระดูกพรุนด้วย ( osteoporosis)
4. การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้รูปร่างคุณมีสัดส่วนดังเดิมรวดเร็วขึ้น
5. น้ำนมแม่มีพร้อมเสมอทุกที่ทุกเวลา และไม่จำเป็นต้องล้างขวดนมให้ยุ่งยาก

ที่มา
http://www.dumex.co.th/feeding_and_nutrition/breastfeeding/article/the_benefits_of_breastfeeding

อาหารที่คุณแม่ควรรับประทาน

อาหารที่คุณแม่ควรรับประทาน

ระหว่างการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์จะได้รับสารอาหารทั้งหมดที่ต้องการในการเจริญเติบโตจากคุณแม่ ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงในช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้นนี้ คุณแม่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการได้รับสารอาหารครบทั้งห้าหมู่

ปิรามิดอาหาร
คุณแม่สามารถใช้ประโยชน์จากปิรามิดอาหารของเรา ในการตรวจสอบดูว่าคุณแม่ได้รับประทานอาหารในแต่ละหมู่ครบถ้วนเพียงพอที่จะทำให้สุขภาพแข็งแรงหรือไม่

เคล็ดลับน่ารู้สำหรับอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
เลือกอาหารที่หลากหลายจากอาหารในแต่ละหมู่เพื่อให้แน่ใจว่าคุณแม่ได้รับอาหารครบทั้งห้าหมู่ หากคุณแม่รู้สึกกังวลว่า ไม่ได้รับประทานอาหารครบหมู่ ขอแนะนำให้สอบถามสูติแพทย์และพยาบาลผดุงครรภ์เกี่ยวกับ อาหารเสริม ทานอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ และอาหารว่าง 2 - 3 ครั้งต่อวัน พยายามทานผลไม้และผัก ซีเรียลธัญพืช และถั่วชนิดต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในร่างกาย ดื่มน้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เช่น นมพร่องไขมัน น้ำผลไม้สด และซุป ในแต่ละสัปดาห์ ควรรับประทานปลาที่มีไขมันหนึ่งส่วน และปลาไร้ไขมันหนึ่งส่วน (แต่ให้หลีกเลี่ยงปลาฉลาม ปลาดาบเงิน และปลากระโทงแทง) ใช้น้ำมันพืชในการทำอาหาร เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก และน้ำมันดอกทานตะวัน โดยใช้ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป จำกัดการรับประทานอาหารที่ผ่านกรรมวิธี หรืออาหารหมักดอง ซึ่งมักจะมีเกลืออยู่ในปริมาณมาก ลดปริมาณคาเฟอีนที่คุณรับประทานลงให้น้อยกว่า 4 แก้วต่อวัน จำกัดการทานของหวาน ของขบเคี้ยว เค้ก คุกกี้ ไขมัน น้ำมัน และน้ำตาล อาหารเหล่านี้ให้แคลอรี่ แต่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหารที่คุณแม่และลูกน้อยต้องการ การทานตามใจปากในช่วงนี้ จะทำให้คุณแม่กลับมามีรูปร่างเหมือนเดิมได้ยาก ดังนั้น พยายามหักห้ามใจ ไม่ทานของหวานพวกนั้นบ่อยเกินไป

ที่มา
http://www.dumex.co.th/feeding_and_nutrition/pregnancy_nutrition/article/eating_well_in_pregnancy

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

5 สัมผัสสร้างลูกให้ฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์

มหัศจรรย์ 5 สัมผัสสร้างลูกให้ฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์/ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านคงอยากเห็นลูกที่อยู่ในครรภ์ออกมาดูโลกอย่างปลอดภัย เฉลียวฉลาด และน่ารัก ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมีความเฉลียวฉลาดขึ้นอยู่กับ 3 ประการคือ 1.พันธุกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวมากับเด็กตั้งแต่เกิดไม่สามารถแก้ไขได้ 2.สิ่งแวดล้อม มีงานวิจัยที่กล่าวถึงเด็กฝาแฝดที่ถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน กลับมีความสามารถและความฉลาดที่แตกต่างกัน 3. สิ่งที่คุณแม่รับประทาน สิ่งนี้จะส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์โดยตรง การกระตุ้นพัฒนาการของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์สามารถทำได้ โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกโดยผ่านทางผิวหนังหน้าท้อง การสร้างสายใยสัมพันธ์ โดยการกระตุ้นการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เราลองมาดูกันว่า มหัศจรรย์ 5 สัมผัสนี้คืออะไร

1.สัมผัสทางร่างกาย ทำได้โดยการสัมผัสผ่านหน้าท้อง การนวด การลูบเป็นวงกลม ลูบลงและขึ้นสลับกันพร้อมกับการสลับการหายใจเข้า ออกลึกๆ เป็นการแสดงความรัก ความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูก สัมผัสที่อ่อนโยนและผ่อนคลายจะทำให้ตัวคุณแม่รู้สึกสบายทั้งใจและกายในเวลาเดียวกัน เมื่อคุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข ( Endorphin) ออกมาและช่วยส่งผลต่อลูกในครรภ์ เช่นเดียวกัน

2.สัมผัสทางเสียง ลูกในครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียงในช่วง 4 -5 เดือน ดังนั้นการพูดคุยกับลูก การใช้คำคล้องจอง คำพูดที่กลั่นกรองออกมาจากใจของคุณพ่อคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การพูดคุย การเปิดเพลงที่อ่อนโยน เพลงที่คุณแม่ชอบ ระหว่าง 60-80 beat ต่อนาที เพลงที่ระดับเสียงที่ไม่ดังเกินไป ประมาณ 10-15 นาทีจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ของตัวคุณพ่อคุณแม่เองกับลูก เสียงที่ผ่านน้ำคร่ำจะเดินทางได้อย่างรวดเร็วเป็น 4 เท่าของทางอากาศ และส่งผลต่อประสาทรับรู้ทางหูซึ่งจะช่วยกระตุ้นเส้นใยประสาท ช่วยเรื่องประสาทรับรู้เรื่องความจำ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาภาษาขั้นพื้นฐานสำหรับลูกอีกด้วย

3.สัมผัสทางการลิ้มรส ช่วงนี้คุณแม่ต้องรับประทานอาหารให้ครบหมู่ มีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส โฟเลต ธาตุเหล็ก อาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ งดทานอาหารประเภทที่มีคาเฟอีน และอาหารที่จะเป็นอันตรายต่อลูก ฯลฯ เพราะอาหารที่คุณแม่ทานจะส่งผลโดยตรงต่อลูกน้อย โดยสามารถที่จะกล่าวได้ง่ายๆว่าคุณแม่ทานอะไรลูกก็จะทานอย่างนั้น

4.สัมผัสทางการดมกลิ่น สามารถทำควบคู่ไปกับการนวด ในช่วงเย็นหลังจากทำงานหนัก ยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 คุณแม่ต้องรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น การนวดผ่อนคลายโดยการใช้โลชั่นกลิ่นที่คุณแม่ชอบจะช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลาย มีความสุข มีจิตใจที่แจ่มใสส่งผลต่อลูกในครรภ์ด้วยเช่นเดียวกัน

5.สัมผัสทางสายตา สามารถทำได้โดยการส่องไฟที่บริเวณหน้าท้อง โดยใช้เวลาไม่นาน เป็นสัญญาณไฟกระพริบ ห่างจากบริเวณหน้าท้องพอสมควร และมีแสงที่ไม่จ้าจนเกินไป จะทำในช่วงไตรมาสที่ 3 เพราะในช่วงนี้ลูกจะเริ่มลึมตา การกระตุ้นโดยการใช้แสงจะช่วยให้ลูกปรับสภาพการมองเห็น ควรทำในช่วงเย็นหลังคุณแม่ทานอาหารเสร็จ เพราะจะทำให้ลูกตื่นและนอนในเวลากลางคืนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการปรับตัวเตรียมพร้อมในการออกมาดูโลกอีกด้วย

มหัศจรรย์สัมผัสทั้ง5ที่คุณแม่ปฏิบัติต่อลูกนั้น จะเป็นสิ่งที่ช่วยงกระตุ้นให้ลูกในครรภ์มีการรับรู้ที่ดีมากขึ้น นอกจากนี้ถ้าคุณแม่มีจิตใจที่สบายและคิดในทางบวกก็จะส่งผลที่ดีต่อลูกในครรภ์ด้วย การที่คุณแม่ทานอาหารที่ครบ5หมู่และมีประโยชน์ต่อร่างกาย การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย รวมทั้งการพูดคุยกับลูก สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นวิธีการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับลูกที่ส่งผลที่ดีต่อพัฒนาการของลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ได้อย่างมหัศจรรย์ทีเดียวค่ะ




ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ชวนคุณแม่บ้านบอกลา "ริ้วรอย" ก่อนถึงเวลาอันควร


"พี่นา-นัทธมน สุขโข"


จะว่าไปแล้ว "ความสวยความงาม" เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใคร ทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน ตลอดจนคุณแม่บ้านที่ใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะยิ่งอายุมากขึ้น ทุกๆ อย่างในร่างกายของคนเราย่อมร่วงโรยตามไปด้วย โดยเฉพาะผิวพรรณที่สามารถบ่งบอกการมีสุขภาพที่ดีจากภายนอกสู่ภายในได้ และส่วนที่เชื่อว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ให้ความสำคัญมากคงหนีไม่พ้นบริเวณใบหน้าที่ต้องบำรุงรักษาให้มีสุขภาพดีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีคุณแม่บ้านหลายคนปล่อยปละละเลยไป

กับเรื่องนี้ "พี่นา-นัทธมน สุขโข" ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวพรรณและที่ปรึกษาอาวุโสด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวสะท้อนปัญหาของผู้หญิงที่อายุขึ้นเลข 4 กันแล้วว่า คงจะหนีไม่พ้นการมาเยือนของริ้วรอยเหี่ยวย่น และผิวพรรณที่ไม่เต่งตึงเหมือนเมื่อครั้นยังเป็นวัยรุ่น เพราะกล้ามเนื้อผิวของคนเราจะหย่อนคล้อยไปตามอายุ บางคนพบปัญหาผิวหยาบกร้าน รูขุมขนกว้าง อีกทั้งผิวหมองคล้ำอีกด้วย ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้มีสาเหตุหลักมาจากวัย เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นน้ำหล่อเลี้ยงในผิวจะยิ่งลดน้อยลง ฉะนั้นความหนาของผิวชั้นนอกสุด หรือที่เรียกว่า "หนังกำพร้า" ก็จะค่อยๆ บางลง ส่วนผิวชั้นในหรือหนังแท้จะมีการทรุดตัวลงทำให้ผิวเกิดเป็นล่องริ้วรอยได้ง่าย

สำหรับคุณแม่บ้านที่อดหลับอดนอน ประกอบกับชีวิตประจำวันเจอแต่มลภาวะที่เป็นพิษทั้งสายลมและแสงแดดตลอดเวลา และความเครียดที่ต้องจัดการงานบ้านทุกอย่าง ทั้งการดูแลลูกและคอยปรนนิบัติสามี ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ผิวถูกทำลายได้ และไม่เฉพาะคุณแม่บ้านเท่านั้น สาวๆ ออฟฟิศก็เช่นกัน เพราะบางคนทำงานอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ แม้จะไม่ได้ออกไปสัมผัสกับแสงแดดข้างนอกโดยตรง แต่ก็สามารถประสบปัญหาเรื่องผิวได้ จากรังสีหน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงเรื่องความเครียดสะสมจากการทำงาน

"หากปล่อยให้ปัจจัยต่างๆ มารุมทำร้ายผิวพรรณ ผู้หญิงในวัยนี้ก็จะเจอกับปัญหาเรื่องริ้วรอย ฝ้า กระ และสิวที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในวัยเลข 4 แต่ก็มีแม่บ้านและสาวออฟฟิศบางรายประสบปัญหานี้อยู่ เนื่องจากการล้างทำความสะอาดผิวหน้าไม่สะอาด รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าไม่ตรงกับสภาพผิว"

ทั้งนี้ คุณแม่บ้านจำนวนไม่น้อยลืมให้ความสำคัญในการบำรุงผิวในเวลากลางคืน ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวพรรณ แนะนำว่า สำหรับคนที่เริ่มมีริ้วรอยควรใส่ใจเรื่องไนท์ครีม เพราะเป็นการบำรุงผิวขณะที่ผิวกำลังหลับอยู่ จะทำให้เนื้อครีมเข้าไปฟื้นฟูส่วนที่เสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนจะไม่ชอบให้หน้าเหนียวเหนอะหนะ แต่ความเหนียวที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนเรานั้น จะช่วยรักษาน้ำมันและน้ำหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้น และไนท์ครีมจะเป็นส่วนที่ช่วยป้องกันการดูดซึมความชุ่มชื้นของผิวจากอากาศ

"เพราะบางคนนอนในห้องนอนที่แคบ จึงมีความชื้นในอากาศสูง ทำให้ผิวแห้งตึงและเกิดริ้วรอยได้ง่าย ฉะนั้นควรมีการนวดหน้า สำหรับคนที่มีผิวแห้งสามารถนวดหน้าได้ทุกวัน ส่วนผิวผสมไปจนถึงผิวมันก็สามารถทำได้เดือนละครั้ง ไม่ควรทำบ่อยเกินไป เพราะการนวดหน้าเป็นการกระตุ้นให้น้ำมันใต้ชั้นผิวออกมาตามรูขุมขน ถ้าเป็นคนที่มีสภาพหน้าที่มันอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้หน้ามันและเกิดเชื้อแบคทีเรียอุดตัน สาเหตุของการเกิดสิวในวัยที่ไม่สมควร" พี่นาอธิบายการดูแลผิว

อย่างไรนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวชี้แจงว่า สำหรับคุณแม่บ้านที่ต้องการให้การนวดหน้าได้ประสิทธิผลดียิ่งขึ้น ควรปล่อยใจตามสบายในขณะที่นวดหน้า ส่วนน้ำหนักของมือควรปรับการลงน้ำหนักให้เหมาะสมกับแต่ละส่วนของใบหน้า เช่น บริเวณรอบๆ ดวงตาต้องใช้น้ำหนักมือที่เบา เนื่องจากเป็นจุดที่ผิวมีความบอบบางมากที่สุดและควรทำให้ผิวรู้สึกสบายมากที่สุด เพราะจังหวะในการนวดจะทำให้การไหลเวียนของโลหิตมีประสิทธิภาพดีขึ้น และควรรักษาระดับความเร็วในการนวดให้เท่ากับจังหวะการเต้นของชีพจรด้วย

วิธีการนวดหน้า

1. หน้าผาก -นวดเป็นวง โดยเริ่มจากกึ่งกลางหน้าผาก แล้วกดเบาๆ บริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง


1


2.จมูก -นวดลงมาจากด้านข้างของสันจมูก และนวดบริเวณปีกจมูกในลักษณะขึ้น-ลง


2


3. ปาก -เริ่มนวดจากบริเวณกึ่งกลาง ริมฝีปากล่างไปยังขอบปากยกมุมปากขึ้น แล้วปล่อยนิ้วไปข้างหน้า


3


4. แก้ม -นวดขึ้นในลักษณะเป็นขดลวดออกไปด้านข้างของใบหน้า


4


5. ตา -กดเบาๆ บริเวณหัวตา ค่อยๆ เลื่อนนิ้วไปตามเปลือกตาบนและขอบตาล่าง แล้วกดเบาๆ ที่ขมับทั้ง 2 ข้าง


5


6. ลำคอ -ใช้อุ้งมือนวดคอในลักษณะลูบขึ้น


6


7. คาง -ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกางออกไปในลักษณะเหมือนกรรไกร ลูบผ่านไปยังติ่งหูอีกข้าง และใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ลูบกลับ


7


8. หู -นวดขึ้นเป็นวงกลม โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้


8


นอกจากนั้น ยังมีวิธีการนวดหน้าแบบง่ายๆ มาเอาใจคุณแม่บ้านที่มีเวลาน้อยและชีวิตเร่งรีบ แต่ยังมีความต้องการบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัยกัน ดังนี้ค่ะ

1. นวดบริเวณคางไปสู่แก้ม โดยเริ่มนวดขึ้นจากกึ่งกลางออกไปทางด้านข้างช้าๆ 3 รอบ


1


2. นวดบริเวณแก้ม โดยวนเป็นวงกว้างๆ 3 ครั้ง


2


3. นวดบริเวณใต้ตาไปจนถึงหน้าผาก โดยวนขึ้นเป็นวงกว้างๆ ช้าๆ 3 รอบ และสามารถทำซ้ำจากข้อ 1-3 ได้ตามความต้องการ


3


4.ขั้นตอนสุดท้าย ลูบไล้อย่างแผ่วเบา โดยเริ่มจากกึ่งกลางของใบหน้า จากบริเวณคาง แก้ม และหน้าผากไปยังขมับ


4


ถึงแม้จะมีการนวดหน้าแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ ซึ่งสามารถช่วยให้คนเรามีผิวพรรณที่สวยงามและสุขภาพดี ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลและดูสดใสอ่อนกว่าวัย พี่นาจึงฝากเตือนคุณแม่บ้านรวมถึงบรรดาสาวๆ ทั้งหลายว่า อย่าปล่อยให้กาลเวลามาทำลายผิวพรรณของคุณให้ร่วงโรย ควรมีการดูแลอย่างต่อเนื่อง ควรมีการปกป้อง มีการใช้โลชั่นกันแดดบ้างก่อนการแต่งหน้า เพราะถ้ามีการบำรุงหน้าและตกแต่งด้วยเครื่องสำอางบ้างก็จะช่วยเป็นเกราะป้องกันผิวของเราเพิ่มขึ้นอีกชั้น แต่ก็ควรเลือกเครื่อสำอางที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ นอกจากนั้นถ้าไม่อยากแก่ก่อนวัยก็ต้องใส่ใจขั้นตอนการทำความสะอาดเครื่องสำอางบนใบหน้าด้วย

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000118453

วิธีพิชิต "ความขี้กลัว" ของลูก

ไขวิธีพิชิต "ความขี้กลัว" ของลูก

เมื่อพูดถึง "ความกลัว" ของเด็ก ถือเป็นความกังวลอันดับต้นๆ ของพ่อแม่ที่ไม่อยากให้ลูกเป็นเด็ก "ขี้กลัว" โดยเฉพาะหลายๆ บ้านที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยอนุบาล ความกลัวกับเด็กเป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าจะกลัวความมืด กลัวเสียงฟ้าร้อง กลัวคนแปลกหน้า หรือกลัวในเรื่องที่ไม่สมควรกลัว ซึ่งความกลัวเหล่านี้ได้กลายเป็นความวิตกให้กับพ่อแม่จำนวนไม่น้อย เพราะไม่อยากให้ลูกเติบโตเป็นเด็กไม่กล้าจนกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของลูก

ปัญหาข้างต้น พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล อธิบายให้ทีมข่าว Life and Family ฟังว่า ความกลัวเป็นธรรมชาติของเด็กที่เกิดขึ้นได้ปกติ เพราะเด็กยังไม่สามารถเข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้ดีเกือบทั้งหมด เนื่องจากการรับรู้ หรือเรียนรู้ครั้งแรกของเด็ก เป็นธรรมดาที่ทำให้เกิดความไม่กล้า หรือเกิดความกลัวได้ นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงระดับพัฒนาการ และความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองของเด็กที่ในบางครั้งยังช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ดี เด็กจึงรู้สึกไม่แน่ใจ และไม่ปลอดภัย ก่อให้เกิดเป็นความกลัวขึ้นได้

ด้านสภาพการเลี้ยงดูลูกในครอบครัว คุณหมอบอกว่า มีผลต่อความกลัวของเด็กเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพ่อแม่ไม่ให้เวลา และความอบอุ่นกับลูกอย่างเต็มที่ เด็กก็จะเกิดความรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ยิ่งถ้าอยู่ในครอบครัวที่มีแต่เสียงทะเลาะกันของพ่อแม่ทุกวัน ๆ เด็กจะจำ และซึมซับเสียงนั้นจนฝังใจ ส่งผลให้กลัวเสียงดังไปโดยปริยาย เช่น รู้สึกกลัวเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทะเลาะกัน เป็นต้น

"พ่อแม่ที่ชอบใช้วิธีการขู่ หรือหลอกให้ลูกเกิดความกลัวเพื่อไม่ให้ทำในสิ่งต่างๆ เช่น ออกไปนอกบ้าน ระวังตำรวจจับนะ หรือ ถ้าซนมากๆ เดี๋ยวแม่จะให้หมอมาฉีดยาเลยนะ ซึ่งการขู่ลูกในลักษณะเช่นนี้ หากเกิดขึ้นบ่อย เด็กจะค่อยๆ ซึมซับความกลัวจนกลายเป็นกลัวฝังใจได้" พญ.พรรณพิมลกล่าว

อย่างไรก็ดี เมื่อลูกต้องเผชิญกับความกลัวในสิ่งต่างๆ คุณหมอท่านนี้แนะนำว่า พ่อแม่ไม่ควรตำหนิ หรือผลักให้ลูกเข้าไปเผชิญหน้ากับความกลัว เช่น กลัวความมืด หรือกลัวผี บางคนขังลูกไว้กับความกลัว ความมืด เพื่อให้ลูกคุ้นชิน แต่สิ่งเหล่านี้จะยิ่งทำให้เด็กเกิดความกลัวมากขึ้น กลายเป็นกลัวฝังใจ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น เห็นอะไรก็กลัวไปหมด ทำให้การใช้ชีวิตไม่สนุก

"คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าไปปลอบ เพื่อให้ลูกลดอาการกลัวลง และมีความมั่นใจขึ้น เช่น ถ้าลูกกลัวสัตว์เลี้ยง พ่อแม่ต้องค่อยๆ ให้เรียนรู้ถึงมุมที่น่ารักของสัตว์ ไม่ว่าจะเล่าเรื่อง มีภาพน่ารักๆ โดยหยิบยกมาจากในหนังสือนิทาน หรือการ์ตูน หรือในกรณีที่ลูกกลัวความมืด พ่อแม่อาจหาโคมไฟสำหรับเด็กที่สามารถหรี่ไฟให้อ่อนลงได้ ซึ่งค่อยๆ ปรับให้ลูกคุ้นชินกับความมืด ช่วยให้ลูกปรับตัวได้ง่ายขึ้น" พญ.พรรณพิมลแนะแนวทางที่ถูกต้อง

อยู่กับ "ความกลัว" อย่างเข้าใจ

ด้าน คุณกพล ทองพลับ หรือดีเจป๋องแห่ง The Shock FM ผู้คลุกคลีอยู่กับโลกแห่งวิญญาณ ได้ให้มุมมองในเรื่องเดียวกันว่า การที่เด็กฝังจำเรื่องความกลัว อาจเป็นผลมาจากคำสอน หรือการเตือนของคนสมัยก่อนที่จะปรามไม่ให้เด็กทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น ถ้าไม่กินข้าวเดี๋ยวตุ๊กแกมากินตับนะ หรือ ถ้ายังไม่นอนเดี๋ยวผีมาหรอกนะ แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ พ่อแม่หลายคนเริ่มเข้าใจ และมีเหตุผลในการสอนมากขึ้น

"จริงๆ แล้วผู้ใหญ่สมัยก่อนอาจมองว่า การหลอกเป็นกุศโลบายในการสอนเด็ก เพราะไม่รู้จะบอกเด็กให้เชื่อฟังได้อย่างไร แต่ในสมัยนี้ผมมองว่ามีให้เห็นน้อยแล้วนะ เพราะพ่อแม่หลายคนเข้าใจ และจะใช้เหตุผลในการสอนลูกมากขึ้น เช่น ถ้าลูกไม่นอน ก็จะชี้แจงให้ลูกเข้าใจว่า ถ้าไม่นอน ร่างกายของหนูจะไม่แข็งแรง และไม่มีแรงไปวิ่งเล่นพรุ่งนี้นะ" ดีเจป๋องให้มุมมอง

สำหรับเรื่องผีนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่มีความกลัวอยู่ในตัวไม่น้อย ในเรื่องนี้ ดีเจป๋องบอกว่า เรื่องผีเป็นเรื่องที่สนุก และตื่นเต้น เพราะชีวิตคนเราถ้าไม่มีเรื่องพวกนี้เลย ชีวิตก็ขาดสีสัน แต่ก็อย่าไปกังวล หรือคิดมากจนมีปัญหากับการใช้ชีวิต พ่อแม่ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจ และใช้ประโยชน์จากเรื่องผีมาเป็นหลักในการสอน

"พ่อแม่ต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า เรื่องผีเป็นเพียงเรื่องเล่า โดยขณะที่ฟัง หรือดูหนังผีกับลูกนั้น ก็สอนลูกได้ไม่ยาก เช่น เห็นไหมลูก คนนี้ถูกผีหลอกเพราะอะไร เพราะเขาพูดจาไม่ดี ลบหลู่ พูดจาไม่น่ารัก เขาก็เลยถูกผีหลอก ดังนั้นเวลาที่ลูกจะพูดกับผู้ใหญ่ ลูกต้องพูดจาสุภาพ น่ารักนะคะ หรือถ้าในกรณีที่ลูกได้ยิน หรือเห็นภาพแปลกๆ การพิสูจน์ความจริงร่วมกันกับลูก จะช่วยให้เด็กกระจ่าง และมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นเรื่องผี ไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างเดียว มันมีมุมที่พ่อแม่จะเลือกหยิบมาสอนลูกได้ตลอด" ดีเจป๋องแนะวิธี

ดีเจป๋องฝากทิ้งท้ายว่า ถ้าเมื่อไรที่คนเราไม่มีความกลัว ความสนุกในการติดตามเรื่องผี มันก็ไม่สนุก ฉะนั้นความกลัวมันอยู่กับเราได้ เพียงแค่จัดการความกลัวให้อยู่ในระบบระเบียบที่เหมาะสม ซึ่งพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี สอนให้ลูกรู้จักกลัวอย่างมีเหตุผล สิ่งไหนควรกลัว หรือไม่ควรกลัว และที่สำคัญพ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักระวังตัวจากความไม่กลัวด้วย เพราะถ้าขาดการระมัดระวัง หรือประมาทเลินเล่อ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือสิ่งที่ไม่คาดคิดตามมาได้ง่าย


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

เมื่อต้องเลือกซื้อ "รถเข็น" ให้เจ้าตัวเล็ก

หากจะกล่าวว่า "รถเข็น" เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะไลฟ์สไตล์ครอบครัวไทยยุคใหม่ที่กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ทำให้พ่อแม่มักจะหอบลูกน้อยเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ด้วยกัน เห็นได้ชัดก็คือแผนกเด็กตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ที่กลายเป็นแหล่งชุมนุมพ่อแม่และลูกน้อยมาเดินเลือกซื้อของใช้สำหรับเด็กกันนั่นเอง การมีรถเข็นเด็กช่วยให้พ่อแม่หลายท่านเลือกซื้อของได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะลูกน้อยก็มีที่พักผ่อนแสนสบาย ขวดนม ผ้าอ้อมก็มีที่เก็บ จะหยิบใช้ก็แสนง่าย

วันนี้ จึงขอนำหลักในการเลือกซื้อรถเข็นสำหรับเด็กมาฝากคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหารถสี่ล้อประจำกายเจ้าตัวเล็กกันค่ะ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ

หลักในการเลือกซื้อรถเข็นสำหรับเด็ก

- พิจารณาจากอายุของลูก หากซื้อสำหรับใช้ตั้งแต่ยังเป็นทารกจนถึงลูกโต ควรมองหารถเข็นเด็กที่รองรับได้ถึงตอนลูกโต เช่น ช่องที่เว้นไว้ให้ขาสอดออกมาควรสามารถปรับขนาดได้ เพราะขนาดของขาลูกจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ

- พิจารณาจากการใช้งาน หากมีรถยนต์ส่วนตัว และมีโอกาสพาลูกเดินทางบ่อย ๆ ควรเลือกชนิดที่สามารถเป็นคาร์ซีทได้ด้วย เพราะจะคุ้มค่าและปลอดภัยกว่า

- น้ำหนักของรถเข็นก็มีส่วนสำคัญ ถ้าต้องเดินทางบ่อย ๆ ควรเลือกรถเข็นที่มีน้ำหนักเบาสักนิด จะได้ยกขึ้นรถลงเรือได้สะดวก (รถเข็นบางคันฟีเจอร์เยอะมาก ส่งผลให้น้ำหนักของตัวรถมากตามไปด้วย กรณีนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องชั่งใจว่าจะเลือกแบบใดดีจึงจะเหมาะสมกับครอบครัว)

- สีที่ใช้สำหรับรถเข็นเด็กควรเป็นแบบ non-toxic

- ผ้าที่ใช้บุเก้าอี้รถเข็น หรือหลังคาต้องเป็นผ้าชนิดที่ติดไฟแล้วไม่ลาม

- เบาะรถเข็นควรจะถอดซักได้ เพราะการเลี้ยงเด็ก บางครั้งอาจมีอุจจาระ ปัสสาวะ หรืออาเจียนเลอะเทอะ

- รถเข็นที่มีของเล่นติดมาด้วย ควรตรวจสอบด้วยว่าของเล่นเหล่านั้นใช้สีแบบ non-toxic หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของเด็ก

- หากเลือกซื้อรถเข็นมาใช้ตั้งแต่ลูกยังเป็นทารก ควรเลือกแบบที่ปรับนอนราบได้ เพราะลูกยังคอไม่แข็ง

- ควรเลือกรถเข็นที่มีตะกร้าใส่ของ เผื่อไว้ใส่ผ้าอ้อม ขวดนม ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ฯลฯ

- รถเข็นบางชนิดก็ไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก เช่น รถเข็นแบบก้านร่ม

เลือกรถเข็นดี ๆ ได้สักคันแล้ว การใช้งานให้ถูกต้องเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งจากข้อมูล และงานวิจัยที่เราเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้พบว่า มีพ่อแม่ที่ยังใช้งานรถเข็นเด็กอย่างไม่เหมาะสมหลายประการ ทำให้เจ้าตัวเล็กประสบอุบัติเหตุได้ ซึ่งข้อควรระวังมีอะไรบ้างนั้น ติดตามได้เลยค่ะ

- ไม่ควรให้เด็กนั่งรถเข็นนานเกิน 6 ชั่วโมง

- ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่ในรถเข็นคนเดียว เพราะรถเข็นเด็กไม่ใช่รถเข็นบรรทุกสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต หากปล่อยทิ้งไว้แล้วคุณพ่อคุณแม่ตายใจเลือกซื้อของนาน ๆ หันมาอีกที ทั้งลูกและรถอาจไม่อยู่กับคุณอีกแล้วก็เป็นได้ค่ะ

- ไม่ควรใช้รถเข็น (แบบทั่วไปที่มีวางจำหน่าย) บรรทุกเด็กมากกว่า 1 คน เว้นเสียแต่ว่าเป็นรถเข็นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับรองรับเด็กได้หลายคน (ข้อนี้ผู้เขียนพบบ่อยมากในห้างสรรพสินค้า กับรถเข็นคันเล็กนิดเดียวแต่แบกสองพี่น้องตัวเบ้อเริ่มเอาไว้ เด็กก็อึดอัด รถก็จะพังเอาได้ ต้องระวังให้มาก ๆ ค่ะ)

- ไม่ควรใช้รถเข็นบรรทุกของที่มีน้ำหนักมาก (ในคู่มือการใช้งานจะระบุเอาไว้ว่ารถเข็นคันที่คุณเลือกซื้อนั้นบรรทุกน้ำหนักได้กี่กิโลกรัม)

- ไม่ควรใส่วัตถุมีคม เช่น มีด กรรไกร หรือวัตถุไวไฟ เอาไว้ในช่องต่าง ๆ ของรถเข็น เพราะผู้ที่จะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดก็คือลูกน้อยของเรานั่นเองค่ะ

- ควรอ่านคู่มือก่อนใช้ทุกครั้ง

อย่างไรก็ดี ผู้ให้ข้อมูลกับเราในครั้งนี้ (ฝ่ายการตลาด บริษัท เฟิร์สฟีล จำกัด) ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านว่า สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมาก ๆ ก็คือ การอ่านคู่มือค่ะ เพราะอุบัติเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดกับเด็กนั้น เป็นเพราะผู้ซื้อไม่ค่อยศึกษาผลิตภัณฑ์จากคู่มือเท่าใด และใช้งานไม่ตรงกับความสามารถของสินค้า จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายนั่นเอง

รถเข็นจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อผู้ที่ซื้อมันมา เข้าใจประโยชน์ที่มันมีนะคะ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

3 เทคนิค แก้โจทย์เลี้ยงลูกในยุค'2010


พญ.เพียงทิพย์ หังสพฤกษ์


เมื่อสังคมเปลี่ยน ปฏิเสธไม่ได้ว่า โจทย์ในการเลี้ยงลูกย่อมมีระดับความยากตามไปด้วย โดยเฉพาะในยุคที่เด็กต้องเผชิญกับความเจริญทางวัตถุ เทคโนโลยี และกระแสวัฒนธรรมต่างชาติ จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่หนักใจ เพราะถ้าหากตามไม่ทัน อาจตกกระแส และพูดคุยกับลูกไม่รู้เรื่อง กลายเป็นรอยแยกทางความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ และลูกได้

วันนี้ ทีมงาน Life and Family มีเทคนิคดีๆ จาก "พญ.เพียงทิพย์ หังสพฤกษ์" จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ โดยคุณหมอได้แนะนำเทคนิค 3 ข้อไว้เป็นตัวช่วยในการแก้โจทย์เลี้ยงลูกยุค’ 2010 ที่ถึงแม้จะเป็นเทคนิคพื้นๆ แต่ถ้าใช้อย่างเข้าใจ ย่อมเกิดผลในทางที่ดีได้ไม่น้อย

เทคนิคที่ 1 อย่าบ่นว่าไม่มีเวลากับลูก

เวลาคือสิ่งสำคัญสำหรับลูก โดยเฉพาะเวลาคุณภาพที่จะพูดคุยกันระหว่างพ่อแม่กับลูก เช่น มีเวลาไปเดินเล่น ดูหนัง ทำกิจกรรมร่วมกัน แต่แม่บางคนจะมักอาศัยช่วงเวลาตอนเช้า หรือตอนเย็นในการขับรถรับส่งลูกที่โรงเรียน เอาเวลาที่อยู่บนรถเป็นเวลาในการพูดคุยกับลูก เพราะหาโอกาสและเวลาที่จะคุยกันได้ยาก บางครั้งการคุยกันบนรถก็อาจไม่ใช่ทางออกเสมอไป เนื่องจากเวลาพูดคุยกันนั้น ปากลูกอาจจะเออออไปด้วย แต่ในมือกำลังเล่นเกม หรือให้ความสนใจกับเกมในมือถืออยู่ ทำให้แม่กับลูกมองไม่เห็นการแสดงออกของอีกฝ่าย

ดังนั้นการใช้เวลาพูดคุยกับลูก จิตแพทย์รายนี้แนะนำว่า ต้องใช้เวลาที่มีคุณภาพ ถึงแม้จะน้อยนิดแค่ไหนก็ตาม พ่อแม่ควรแบ่งเวลาเอาไว้สำหรับลูกบ้าง หากไม่มีธุระด่วน หรืองานกะทันหัน ควรพูดคุยถามถึงปัญหาของลูกด้วยความห่วงใย โดยการพูดคุยแบบนี้จะทำให้ลูกรู้สึกอุ่นใจและกล้าเล่าให้แม่ฟังเมื่อมีปัญหา ซี่งไม่ใช่มาคอยจับผิด

"โดยทั่วไปแล้วธรรมชาติของเด็กตั้งแต่วัยประถมขึ้นไปถือว่าเป็นวัยที่เริ่มมีความเกรงใจ หากพ่อแม่บอกว่าไม่ค่อยมีเวลา แต่ถ้าหากลูกมีปัญหาอะไรก็ให้มาปรึกษา เช่น มีปัญหาเรื่องการเรียน เพื่อนรังแก ทะเลาะกับครู หรืออกหัก ตามธรรมชาติแล้วเด็กจะไม่ปรึกษาพ่อแม่ เขาจะคิดว่าไม่อยากเอาภาระไปให้แม่ เพราะเห็นแม่บอกว่าไม่มีเวลา เด็กก็เลยใช้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งก็อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถ้าหากพ่อแม่ไม่เกิดความเอะใจหรือระแวงว่าลูกจะเกิดความเกรงใจและอาจจะเก็บปัญหาเอาไว้ เมื่อเกิดความผิดพลาดไปแล้วก็จะมาเสียใจและเสียดายที่ไม่มีเวลาให้ลูก ซึ่งไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีสำหรับแม่ เหมือนกับเป็นการโยนความรับผิดชอบให้กับลูก" จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่นกล่าว

เทคนิคที่ 2 อย่ายัดเยียดหรือฝืนใจลูก

สำหรับเทคนิคที่ 2 นี้ ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน พ่อแม่จะต้องเข้าใจด้วยว่าลูกชอบ หรือไม่ชอบอะไร ต้องการสิ่งไหน หรือนิสัยใจคอของลูกเป็นอย่างไร เพราะเรื่องของความเข้าใจระหว่างแม่กับลูกถือเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญในการเลี้ยงลูกยุคนี้ เพราะบางทีหากแม่ไม่มีความเข้าใจลูกว่าลูกชอบหรือต้องการสิ่งไหน แม่ก็จะไม่รู้และพยายามเลือกสิ่งต่างๆ ให้กับลูกด้วยเหตุผลของตัวเอง เหตุผลที่รู้มาว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นเหมาะกับลูก ซึ่งอาจมองข้ามความชอบ ความต้องการ และความเหมาะสมกับบุคลิก อารมณ์ นิสัยของลูกไป ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย


นอกจากนี้ หากเลือกให้ลูกมากเกินไป อาจเกิดเป็นการจะทะเลากันรุนแรง ทำให้แม่ลูกมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ภาพ ต่อไปอาจจะทำให้ลูกต่อต้าน หรือทำอะไรที่ไม่คาดคิดได้ เช่น หนีออกจากบ้าน หรือแอบไปทำอะไรที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม เพราะเด็กเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองว่าเขามีสิทธิ์ และมีความต้องการที่จะเลือกอะไรได้

"แม้ว่าคุณแม่หลายคนในปัจจุบันจะพยายามเป็นแม่ที่ดีโดยการทำอะไรก็ตามที่ได้เห็นลูกออกมาดี แต่ทางอ้อมอาจไม่ได้ตั้งใจ เลยคาดหวัง กดดันลูก โดยที่ไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าเป็นความปรารถนาดี แต่อยากให้แม่ลองเช็กดูว่าตัวเราเป็นกลางหรือเปล่า มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจลูกแค่ไหน เพราะการที่ลูกได้รับสิ่งดีๆ เยอะแยะมากมายที่แม่พยายามทำและเลือกให้นั้น แท้ที่จริงแล้วเขาอาจจะเข้าใจในความหวังดี และเหตุผลที่แม่มีต่อลูก แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นแม่อาจจะไม่เข้าใจลูกเลยว่า เขาต้องการสิ่งเหล่านั้นจริงๆ หรือไม่ เขาอาจจะต้องการอะไรที่แตกต่างออกไป ความต้องการที่แท้จริงของเขา ซึ่งอาจจะแตกต่างจากสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้ก็ได้"

เทคนิคที่ 3 อย่ารู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

เทคนิคสุดท้าย จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น เผยว่า พ่อแม่ต้องรู้ลึกรู้จริง เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พ่อแม่บางคนมักใช้ความรู้ และวิธีที่ตนเองเคยประสบความสำเร็จมา บางทีอาจได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้ ดังนั้นพ่อแม่ควรมีสติ คอยสังเกต อย่าไปยึดติดกับลูกตนเอง และยึดติดกับสิ่งที่เคยได้ผล หากไมได้ผลก็ควรเปลี่ยนวิธี เลิกใช้ และหาแนวทางวิธีใหม่ ๆ แทน ซึ่งสามารถหาความรู้ได้มากมายทั้งจากอินเตอร์เน็ต หนังสือ การอบรม สัมมนาต่างๆ หรืออาจจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อนร่วมงานก็ได้ เพราะบางทีเพื่อนร่วมงานอาจจะมีลูกวัยใกล้เคียงกัน หรือโตกว่า สามารถเล่าถึงประสบการณ์การเลี้ยงลูกให้กันได้ เช่น แม่บางคนอาจจะใช้วิธีทำโทษลูกแบบนี้ แล้วไม่ได้ผลแต่สำหรับแม่บางคนใช้อีกวิธีลูกกลับเข็ดหลาบและไม่กล้าทำอีก ก็อาจจะลองนำวิธีที่ได้ผลของแม่อีกคนไปใช้ดู ที่สำคัญผู้ที่เป็นแม่ควรเปิดใจให้กว้าง ยอมรับฟังวิธีการใหม่ๆจากเพื่อนๆ ซึ่งถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่ได้ผลและมีประโยชน์สำหรับแม่ยุคนี้

เทคนิคทั้ง 3 ข้อข้างต้น ถึงแม้จะเป็นเทคนิคพื้นๆ แต่ถ้าพ่อแม่ทุกคนให้ความสำคัญ และใช้ให้เป็น จากโจทย์เลี้ยงลูกที่ยาก จะกลายเป็นเรื่องง่าย เพราะนอกจากคุณจะเข้าใจลูกแล้ว ลูกยังรัก และเข้าใจคุณอีกด้วย ดังนั้น ทีมงานขอเป็นกำลังใจให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ต้องเลี้ยงลูกในยุคใหม่ทุกคนนะครับ



ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ท้องนอกมดลูกและการป้องกัน

ท้องนอกมดลูก ป้องกันได้



ภาพจาก http://www.healthtoday.net/thailand/images1/issue83/women_832.jpg


การท้องนอกมดลูกนั้นความจริงแล้วพบได้น้อยมากประมาณร้อยละ 1 ของการตั้งครรภ์เท่านั้น และโดยมากมักจะตรวจพบในระยะต้นๆ ของการตั้งครรภ์ ซึ่งมักจะมีอาการผิดปกติปรากฏออกมาในระยะต้นๆ ดังนั้นหากไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็สามารถสบายใจได้ว่าปลอดภัยจากการท้องนอกมดลูก แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะทำให้คุณแม่เกิดการท้องนอกมดลูกได้

ปัจจัยที่จะเสริมที่จะทำให้มีโอกาสท้องนอกมดลูกได้แก่

1. มีประวัติการท้องนอกมดลูกมาก่อน
2. เคยเจ็บป่วยด้วยภาวะการอักเสบของอุ้งเชิงกราน
3. เคยผ่าตัดเกี่ยวกับช่องท้องโดยเฉพาะรังไข่
4. เคยทำหมัน หรือผ่าตัดแก้ทำหมัน
5. ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบใช้ห่วงอนามัย และตั้งครรภ์ในขณะที่ใช้ห่วง
6. มีประวัติทำแท้ง
7. มีประวัติได้รับสาร DES (สารที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง) ในโพรงมดลูก จนทำให้เกิดความผิดปกติของโครงสร้างระบบอวัยวะสืบพันธุ์

อาการที่สังเกตุได้ว่าอาจจะเกิดการท้องนอกมดลูก

1. อาการบิดเกร็ง และกดเจ็บบริเวณท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่ง แลปวดแผ่กระจายไปทั่วท้องน้อย อาการปวดรุนแรงขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวรุนแรง แล้วค่อยๆ หายไป เหลือแต่การปวดระบมบริเวณอุ้งเชิงกราน
2. มีเลือดสีน้ำตาลจางๆ ไหลออกทางช่องคลอด อาจมีเลือดสดบ้างเล็กน้อย จะเป็นๆ หายๆ ไม่ต่อเนื่อง เกิดร่วมกับการปวดท้อง แต่บางคนก็อาจไม่มีอาการเลือดออกเลย
3. มีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างมาก ในกรณีนี้อาจมีการฉีกขาดของท่อนำไข่
อ่อนเพลีย เวียนหัว โดยเฉพาะกรณีที่ท่อนำไข่ฉีกขาดจะอ่อนเพลียมากขึ้น ผิวหนังเย็น ชีพจรเต้นเร้ว และเป็นลม
4. บางคนมีอาการปวดร้าวที่ไหล่ด้านหลัง หรือบางคนปวดตื้อๆ ที่ทวารหนัก

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยทันที ซึ่งเมื่อรักษาหายแล้ว ก็สามารถตั้งครรภ์ได้


ที่มา
http://www.babytrick.com/before-pregnancy/ectopic-pregnancy.html

มองรูปเด็กน่ารักแล้วลูกออกมาจะน่ารัก

หญิงตั้งท้องให้มองรูปเด็กน่ารักเมื่อคลอดลูกออกมาจะน่ารักจริงหรือ


ภาพจาก http://i.ytimg.com/vi/70ukUfkXt5Q/0.jpg


เคยได้ยินคนโบราณหลายๆ คนแนะนำว่า เวลาที่คุณแม่ตั้งท้อง ขอให้มองรูปภาพเด็กที่หน้าตาน่ารักๆ บ่อยๆ มองทุกๆ วันแล้วลูกของเราจะเกิดมาน่ารัก คุณเคยได้ยินคำพูดหรือความเชื่อแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าค่ะ แล้วความเชื่อนี้ได้ผลหรือมีผลจริงหรือเปล่า วันนี้เรามาลองวิเคราะห์กันก่อนที่จะเชื่อกันดีกว่าค่ะ

มองรูปเด็กน่ารักแล้วส่งผลอย่างไร

ภาพโปสเตอร์ที่คนท้องชอบซื้อไปติดที่บ้านมักจะเป็นรูปเด็กน่ารักๆ เพราะพวกเขาเคยได้ยินความเชื่อที่ว่าให้มองหน้าเด็กน่ารักแล้วลูกของตนพอออกมาจะมีหน้าตาน่ารักเหมือนเด็กในรูปที่คุณแม่เฝ้ามองในโปสเตอร์ด้วย ปัจจุบันนี้ทางการแพทย์ได้ให้การยืนยันแล้วว่า อารมณ์ของแม่ขณะตั้งครรภ์มีผลกระทบอย่างมากต่อทารกในครรภ์ หากแม่มีอารมณ์ดี มีความรู้สึกดีที่กำลังตั้งครรภ์ ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนเอนโดรฟิน (Endophin) ซึ่งจะทำให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์รู้สึกสบาย มีความสุข อารมณ์สดชื่น และแน่นอนว่าสารนี้มีผลต่อเนื่องไปถึงทารกในครรภ์ด้วย ทำให้เมื่อแม่มีความสุข ทารกในครรภ์ก็พลอยมีความสุขไปด้วย การมองรูปเด็กที่มีใบหน้าน่ารักจะทำให้คุณแม่มีอารมณ์ที่อ่อนโยน เพราะคุณแม่ก็จะจินตนาการว่าลูกของตัวเองก็น่าจะน่ารักแบบนี้บ้าง ทำให้ความกังวลอื่นๆ ในแต่ละวันลดน้อยลง ยิ่งจ้องมองรูปเด็กน่ารักบ่อยๆ คุณแม่ก็จะลืมความเครียด ยิ่งมองยิ่งมีความสุข เมื่อยิ่งมีความสุขร่างกายก็ยิ่งหลั่งสารเอนโดรฟิน เด็กทารกจึงมีความสุขและอารมณ์ดีตามไปด้วย

ในทางกลับกัน หากคุณแม่เครียดมากหรือมีอารมณ์หงุดหงิดตลอด เด็กก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วร้องไห้เก่ง เลี้ยงยาก หรือแม้กระทั่งคลอดก่อนกำหนดเลยก็มี เนื่องจากความเครียดทำให้ระบบภายในร่างกายของแม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงนั้นเอง

มองรูปอื่นๆ ได้หรือเปล่า

การมองภาพวิว ภาพดารา ภาพสัตว์ต่างๆ ก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายเหมือนกัน ช่วยลดความเครียดของแม่ที่ตั้งครรภ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่การมองรูปเด็กที่น่ารักจะส่งผลโดยตรงมากกว่า เนื่องจากคุณแม่จะสามารถจินตนาการระหว่างตนกับลูกได้ง่ายกว่าการมองรูปวิว หรือรูปภาพดารา ดังนั้นหากต้องการให้ได้ผลดีก็ควรจะเป็นรูปเด็กน่ารักจะดีกว่าค่ะ


ที่มา
http://www.babytrick.com/before-pregnancy/new-mother-should-watch-cute-baby-picture.html

ปัจจัยที่จะทำให้ทารกฉลาดอัจฉริยะ

สร้างทารกให้เป็นอัจฉริยะได้อย่างไร



รูปจาก http://gotoknow.org/file/ambassdor/con_2007120312453_i.jpg


พ่อแม่ทุกคนต่างก็หวังอยากให้ลูกของตนเป็นเด็กอัจฉริยะ มีความฉลาดเฉลียว ไหวพริบดี ร่างกายแข็งแรง อารมณ์ดี สามารถเรียนรู้ได้เร็วและสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ แต่เราจะทำให้ทารกที่คลอดออกมาเป็นเด็กอัจฉริยะได้อย่างไร ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้เราทราบว่า มี 3 ปัจจัยหลักที่หากเราสามารถเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มตั้งครรภ์ เด็กทารกที่คลอดออกมาก็จะมีคุณภาพที่ดีและมีโอกาสที่เด็กจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะตามที่คุณพ่อคุณแม่หวังเอาไว้ได้ค่ะ

1.พันธุกรรมจากพ่อและแม่
เด็กทารกเกิดจากการหล่อหลอมรวมกันระหว่างเซลล์ของฝ่ายพ่อและแม่ โดยเซลล์ประกอบไปด้วยโครโมโซม (Chromosome) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นเส้น 2 เส้นที่เรียงตัวกันเป็นคู่ๆ เกาะกันแน่นเหมือนกับบันไดเวียน และบนเส้นโครโมโซมจะมียีนส์ ซึ่งยีนส์นี้มาจากการผสมระหว่างฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่อย่างละครึ่ง ยีนส์เป็นหน่วนควบคุมคุณภาพและลักษณะต่างๆ ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา รูปร่าง ความสูง สีผิว ความฉลาด ฯลฯ ซึ่งยีนส์ในส่วนของอวัยวะสมองนี้เองที่ได้รับมาจากยีนส์ของพ่อและแม่อย่างละครึ่ง ซึ่งมีผลให้เด็กทารกเมื่อเติบโตขึ้นจะมีลักษณะคล้ายกับพ่อและแม่

พันธุกรรมจากพ่อและแม่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อคุณภาพของทารก เพราะว่าเด็กทารกจะฉลาดมากน้อยแค่ไหนยีนส์ที่ได้รับจากพ่อและแม่นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก นอกเหนือจากยีนส์ที่ได้รับจากพ่อและแม่แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่มีผลต่อเด็กทารกค่ะ

2.อาหารการกิน
อาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวันจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสารอาหาร ในปัจจุบันวงการแพทย์ให้การยอมรับแล้วว่า ถ้าทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้รับสารอาหารที่ดีและเหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายของทารกสามารถพัฒนาและเติบโตกลายเป็นเด็กอัจฉริยะได้เช่นกัน เพราะสารอาหารหลายชนิดมีผลในการสร้างร่างกายของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น โปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องใช้เพื่อเสริมสร้างขนาดและคุณภาพของสมอง หากทารกได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ร่างกายของเด็กก็จะสามารถพัฒนาสมองได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อสมองสมบูรณ์ก็จะทำให้การทำงานของสมองทำงานได้อย่างเต็มที่

สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญมากและสมองก็ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมากเช่นกัน หากคุณแม่ได้รับสารอาหารโปรตีนน้อยเกินไป เซลล์สมองของลูกในท้องก็จะมีขนาดเล็ก และทำให้ทารกที่คลอดออกมาระดับสติปัญญาต่ำกว่าเด็กคนอื่นๆ ได้ นอกจากโปรตีนแล้วยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น กลุ่มวิตามินต่างๆ ก็มีผลเช่นกัน เพราะวิตามินบางชนิดก็มีผลต่อระบบประสาทของทารก ดังนั้นอาหารที่คุณแม่ได้รับเข้าไปจึงมีผลอย่างมากต่อทารกในครรภ์

3.สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมในที่นี้จะมีผลตั้งแต่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์เลยทีเดียวค่ะ มีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุไว้ว่า หากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ต้องทนอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ทั้งเรื่องเสียงที่ดังเกินไป มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือทำให้คุณแม่มีอารมณ์หงุดหงิด หรือเครียด เด็กทารกจะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ด้วยเช่นกันส่งผลกระทบต่างๆ เช่น เมื่อทารกคลอดออกมาแล้วน้ำหนักตัวจะน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ, หรือต้องคลอดก่อนกำหนด, เด็กทารกจะตกใจง่าย เลี้ยงยากหรือร้องไห้เก่ง เป็นต้น

ถ้าอยากให้คลอดทารกออกมาเป็นเด็กอัจฉริยะต้องทำอย่างไร

จะเห็นได้ว่าพันธุกรรมจากพ่อและแม่เป็นเพียง 1 ใน 3 ปัจจัยเท่านั้นที่จะให้ลูกเป็นเด็กที่มีคุณภาพ เป็นเด็กอัจฉริยะ ปัจจัยอีก 2 ส่วนคือเรื่องอาหารการกินและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนสามารถกำหนดและแก้ไขได้ค่ะ ดังนั้นไม่ต้องนึกกังวลไปว่าพันธุกรรมของเราไม่ดีพอหรือเปล่า หลักในการปฏิบัติตนเองของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อย่างง่ายเช่น ทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ เน้นโปรตีนให้มากหน่อย อาจจะดื่มนมวันละ 3-4 แก้ว ไข่ไก่ 1 ฟอง รับประทานปลาให้มากๆ ผักผลไม้รวมถึงยาบำรุงที่ได้รับจากแพทย์ที่ฝากครรภ์ รวมถึงควรที่จะอยู่ในบริเวณที่ไม่มีเสียงดังรบกวน อากาศถ่ายเทได้ดี และรักษาอารมณ์ของตนให้แจ่มใสอยู่เสมอ เพียงแค่นี้ทารกในครรภ์ก็จะสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมที่จะเติบโตเป็นเด็กอัจฉริยะได้แล้วค่ะ


ที่มา
http://www.babytrick.com/before-pregnancy/how-to-be-baby-genius.html

กำหนดเพศลูกที่จะเกิด

เรากำหนดเพศของลูกได้จริงหรือ


รูปจาก http://www.babyplayshop.com/images/column_1223398430/1223398481babyplayshopcom1.jpg


เชื่อว่าพ่อแม่หลายคนคงเคยหวังเอาไว้ในใจว่า อยากจะได้ลูกชายหรืออยากได้ลูกสาวในท้องต่อไป แต่เราจะสามารถกำหนดเพศของลูกก่อนที่ฝ่ายแม่จะตั้งครรภ์ได้หรือไม่? ถ้าได้ เราต้องทำอย่าไร และโอกาสที่จะได้ตามที่ตั้งใจไว้มีมากน้อยแค่ไหน

สำหรับการมีลูกแบบธรรมชาติ ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีเทคนิคหรือเคล็ดลับใดที่จะสามารถกำหนดเพศของลูกได้อย่างแม่นยำก่อนที่จะตั้งครรภ์แต่ละครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึงกับหมดหวังซะทีเดียวนะค่ะ ด้วยข้อมูลทางการแพทย์วันนี้ทำให้เราเข้าใจและสามารถเพิ่มโอกาสที่ลูกจะเกิดเป็นเพศที่เราต้องการสูงขึ้นโดยวิธีธรรมชาติได้ค่ะ

ถ้าคุณต้องการลูกชาย
ควรให้โอกาสน้ำเชื้ออสุจิได้เข้าไปผสมกับไข่ได้ใกล้มากที่สุด เนื่องจากเชื้ออสุจิเพศผู้มักจะไม่แข็งแรง จึงไม่ควรให้ตัวอสุจิเพศผู้วิ่งระยะทางไกลๆ เพราะโดยมากมักจะตายก่อนถึงไข่ค่ะ และควรมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันที่ไข่ตก คือประมาณวันที่ 14 หลังจากประจำเดือนมาวันแรก (เฉพาะในการณีที่ฝ่ายหญิงเป็นคนมีรอบเดือนมาสม่ำเสมอทุกๆ 28 วันนะค่ะ) หากเป็นคนที่มีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอก็อาจจะยากซักหน่อย

นอกจากนี้ ในขณะที่กำลังมีเพศสัมพันธ์กัน ควรให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดก่อน แล้วฝ่ายชายจึงค่อยหลั่งน้ำอสุจิ โดยให้สอดอวัยวะเพศเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เชื้ออสุจิเพศชายเข้าไปใกล้กับมดลูกมากที่สุด เนื่องจากว่าโดยธรรมชาติอสุจิเพศชายจะวิ่งเร็วกว่าเพศหญิง แต่ตลอดเส้นทางก่อนที่จะไปไข่จะมีสารเมือก ซึ่งจะทำให้เชื้ออสุจิเพศชายเท่านั้นอ่อนแรงลงได้ง่าย และจะเหลือเพียงอสุจิเพศหญิงเท่านั้นที่เข้าไปในโพรงมดลูก สาเหตุที่ต้องให้เพศหญิงถึงจุดสุดยอดก่อนก็เพื่อให้ร่างกายหลั่งสารออกมา ซึ่งสารที่ผู้หญิงหลั่งออกมาเมื่อถึงจุดสุดยอดนี้จะทำให้เมือกที่เป็นอุปสรรคต่ออสุจิเพศผู้ลดน้อยลง ทำให้อสุจิเพศผู้วิ่งได้เร็วและไกลขึ้น เมื่อรวมกับการสอดอวัยวะเพศชายเข้าไปในช่องคลอดให้ลึกที่สุด โอกาสจึงมีมากขึ้นค่ะ

ถ้าคุณต้องการลูกสาว
ก็ทำตรงข้ามกับวิธีข้างต้น คือให้หลั่งน้ำอสุจิกลางๆ ช่องคลอดเพื่อให้เมือกในช่องคลอดขัดขวางอสุจิเพศชายให้อ่อนแรงลง และเปิดโอกาสให้อสุจิเพศหญิงวิ่งเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อผสมกับไข่ และควรทำในวันก่อนหรือหลังจากวันที่ไข่ตก 3-4 วันก็ได้

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เชื้ออสุจิของผู้ชายแข็งแรงหรืออ่อนแอได้อีก เช่น ความเครียด การทานอาหาร และการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ หากควบคุมปัจจัยต่างๆ ทั้งหมดได้โอกาสที่จะได้ลูกสาวหรือลูกชายตามที่ตนเองต้องการก็จะสำเร็จได้มากขึ้นค่ะ


ที่มา
http://www.babytrick.com/before-pregnancy/how-to-select-baby-gender.html

วิธีช่วยให้ลูกหลับได้นานมากขึ้น


รูปจาก http://healthythailand.com/pic/Image/dad_baby.jpg



4 เทคนิคช่วยให้ลูกนอนหลับได้นานขึ้น

เด็กหลายคนเวลานอนหลับ มักจะรู้สึกตัวตื่นได้ง่าย บางคนนอนหลับไปได้สักครู่ก็จะตื่นขึ้นมาร้องกวนใจคุณพ่อคุณแม่ หากเป็นเวลากลางวันที่คุณพ่อคุณแม่ยังพอมีแรงก็ไม่ค่อยจะเป็นปัญหาเท่าไรนัก แต่หากเป็นกลางคืน หากลูกน้อยของคุณนอนหลับเพียงไม่นานแล้วก็ต้องตื่น ร้องเรียกหาคุณตลอดคืนคงจะไม่ดีแน่ วันนี้เรามีเทคนิคที่จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณนอนหลับได้มากและนานขึ้นค่ะ

1.ควบคุมแสงสว่างในห้อง
แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างห้อง แสงสว่างจากหลอดไฟในห้อง รวมไปถึงแสงไฟอื่นๆ ที่อาจจะลอดเข้ามาในห้อง ล้วนมีผลต่อการนอนหลับของลูกค่ะ คุณควรที่จะควบคุมแสงสว่างให้ดี อย่าให้แสงเหล่านี้เข้ามารบกวนการนอนของลูกคุณเป็นอันขาด หากเป็นเวลากลางคืนที่คุณพาลูกนอนหลับ ขอให้ระลึกเสมอว่า หากก่อนที่ลูกคุณหลับ คุณเปิดไฟดวงไหนเอาไว้หากลูกหลับไปแล้วและเมื่อเขารู้สึกตัวตื่นในยามดึก หากแสงหรือความสว่างก่อนและหลังที่เขาตื่นไม่เหมือนกัน เขาจะร้องมากกว่าเดิมค่ะ เนื่องจากว่าเด็กจะจดจำสภาวะก่อนที่เขาจะหลับไว้ หากตื่นขึ้นมาแล้วเขาเห็นว่าห้องเปลี่ยนไป เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัยค่ะ ดังนั้นหากจะให้ลูกหลับในเวลากลางคืน อาจจะเปิดไฟสลัวๆ ไว้ให้พอมองเห็น จากนั้นค่อยกล่อมเขาให้หลับ และเปิดไฟนั้นทิ้งไว้ตลอดคืนค่ะ เพราะบ่อยครั้งที่เด็กรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก เขาจะสามารถหลับต่อได้เองหากเขาคุ้นเคยกับสภาวะห้องนอนของเขา แต่การนอนในห้องที่มืดสนิทตั้งแต่เด็กจะลดอาการกลัวการนอนในที่มืดของเด็กเมื่อโตขึ้นได้ และความมืดยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นยานอนหลับตามธรรมชาติ ทำให้ลูกนอนหลับได้เร็วขึ้นค่ะ

2.ควบคุมอุณหภูมิภายในห้องนอนลูก
หากลูกน้อยของคุณรู้สึกหนาวหรือร้อนเกินไป ร่างกายของเขาจะรู้สึกไม่สบายตัวทำให้ตื่นได้ง่ายค่ะ รวมไปถึงหากคุณตั้งเวลาให้ปิดแอร์ในตอนเช้ามืด เมื่ออากาศเปลี่ยนหลังปิดแอร์ ลูกน้อยของคุณจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ค่ะ บ่อยครั้งเด็กจึงตื่นขึ้นมาหลังจากปิดแอร์ได้ไม่นาน นอกจากนั้นหากอุณหภูมิของห้องหนาวหรือร้อนเกินไป ก็จะทำให้เด็กนอนไม่สบายตัวค่ะ อุณหภูมิที่เหมาะในการนอนคือประมาณ 24-26 องศาเซลเซียสค่ะ ดังนั้นหากอยากให้ลูกนอนหลับได้นานขึ้น ก็อาจจะตั้งเวลาปิดแอร์ให้ช้าลงกว่าเดิมเพื่อให้เด็กนอนได้นานขึ้นค่ะ

3.ควบคุมเรื่องเสียง
บ่อยครั้งที่เด็กตกใจตื่นเพราะเสียงที่ดังมาจากรอบๆ บ้าน เช่น เสียงเห่าจากสุนัขในบ้าน เสียงรถยนต์วิ่ง เสียงแตร หรือเสียงกริ่งหน้าบ้านของคุณเอง ลองแก้ไขด้วยการย้ายที่นอนหรือห้องนอนของลูกไปอยู่ในโซนที่เงียบสงบกว่าของบ้าน หรือหากว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเสียงเหล่านี้ได้จริงๆ ก็ต้องฝึกลูกน้อยให้ชินกับเสียงเหล่านี้แทนค่ะ เช่น อาจจะให้ลูกได้ยินเสียงดังๆ ขณะนอนหลับในช่วงกลางวันก่อน อาจจะเป็นเสียงเครื่องดูดฝุ่น (ดูดหน้าห้องของลูก) เพื่อฝึกให้ลูกชินกับการนอนเมื่อมีเสียงดังค่ะ แต่วิธีนี้ก้ต้องใช้เวลานานหน่อยนะค่ะ

4.สร้างบรรยากาศ และจุดสนใจให้ลูก
เด็กๆ มักจะตื่นง่าย แต่ส่วนใหญ่ก็จะสามารถนอนหลับต่อได้เองค่ะ และหากเขามองเห็นสิ่งอื่นๆ ที่น่าสนใจ เขาก็ไม่ค่อยร้องออกมาหลังตื่นนอนทันที ยกเว้นว่าเขารู้สึกไม่สบายตัวนะค่ะ ดังนั้นหากเราลองแขวนโมบายล์เล็กๆ ไว้เหนือเปล หรือเตียงของลูกในระดับที่ลูกสามารถมองเห็นได้ คือประมาณ 1-3 ฟุตจากระยะสายตา เวลาที่ลูกตื่น เขาก็จะจ้องมองโมบายล์และสุดท้ายก็จะหลับต่อได้เองค่ะ นอกจากนั้นคุณอาจจะเล่นกับลูกในห้องนอนตอนกลางวัน เพื่อให้ลูกคุ้นเคยกับสภาวะแวดล้อมของห้องมากขึ้น เพื่อที่เวลาเขาตื่นมา เขาจะไม่ตกใจมากค่ะ

ที่มา
http://www.babytrick.com/new-born-baby-tip/4-tech-long-sleep.html

รู้ไหมทารกชอบมองอะไรมากที่สุด

เด็กทารกแรกเกิดชอบมองอะไรมากที่สุด


เคยสงสัยไหมค่ะว่าเด็กทารกแรกเกิดเขาสามารถมองเห็นได้ไกลแค่ไหน และเด็กทารกชอบมองอะไรเป็นพิเศษ วันนี้เรามีผลการวิจัยที่จะบอกได้ว่า เด็กทารกแรกเกิดนั้นสามารถมองเห็นได้แค่ไหน และพวกเขาชอบมองอะไรค่ะ

หลังจากที่ทารกได้คลอดออกมาแล้ว โดยปกติเด็กทารกจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในระยะ 1 ฟุต และสามารถจ้องมองสิ่งต่างๆ ค้างได้นานประมาณ 4-10 วินาที แต่การพัฒนาของการมองเห็นของลูกนั้นจะสามารถลำดับขั้นได้ดังนี้

ทารกแรกเกิดสามารถจดจำหน้าพ่อแม่ได้ภายใน 4 วันหลังคลอด พออายุ 1 เดือน เด็กทารกจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในระยะ 15 นิ้ว และมือเริ่มจะขยับเอื้อมไปสัมผัสกับวัตถุที่มองเห็น เมื่อทารกอายุ 3 เดือนเริ่มแยกแยะระยะใกล้ไกลได้และจะสามารถปรับการมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ 4 เดือน

คำถามยอดฮิต - เด็กทารกชอบมองอะไรมากที่สุด

มีผลการวิจัยจาก Dr. Robert Fantz นักวิจัยด้านพฤติกรรมทารก ท่านได้ศึกษาเรื่องเด็กทารกชอบมองอะไรและได้ทดสอบจนได้ผลที่น่าสนใจดังนี้

1.เด็กทารกชอบมองใบหน้าของพ่อแม่ที่แสดงออกถึงความรัก ความอ่อนโยน เพราะเวลาที่เด็กทารกมองนั้น เด็กจะมองจ้องที่ดวงตาของพ่อและแม่ เพราะรอยยิ้มและแววตาที่อ่อนโยนของพ่อแม่นั้นสร้างความอบอุ่นใจให้กับทารก

2.เด็กทารกชอบมองวัตถุที่เคลื่อนไหวมากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่งๆ

3.เด็กทารกชอบมองวัตถุที่มีสีตัดกันชัดเจน เช่น สีดำตัดกับสีขาว

4.เด็กทารกชอบมองวัตถุ 3 มิติมากกว่า 2 มิติ

เราจะส่งเสริมพัฒนาระบบการมองเห็นของลูกได้อย่างไร

เทคนิคง่ายๆ ที่พ่อแม่สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้มีดังนี้ค่ะ

1.พยายามมองที่หน้าลูกบ่อยๆ เพราะดวงตาของคนจะมีขนาดกลมและมีการตัดกันที่ชัดเจนระหว่างตาขาวและตาดำ และที่สำคัญคือดวงตาสามารถกลอกไปมาได้

2.เปลี่ยนตำแหน่งที่ลูกนอนบ้าง เพื่อให้ทารกได้เห็นสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

3.หาภาพใบหน้าพ่อแม่มาวางไว้ใกล้ๆ ที่นอนของลูก เพื่อให้ลูกได้เห็นและจดจำหน้าได้เร็วขึ้น

4.แขวนวัตถุประเภท 3 มิติ เช่น โมบายไม้ นกกระดาษ ฯลฯ ในจุดที่เด็กทารกสามารถมองเห็นและเอื้อมมือหยิบได้

5.พยายามเล่นกับลูกบ่อยๆ อาจจะให้ลูกมองตัวเองในกระจกพร้อมกับพูดคุยกับลูกไปด้วย

ที่มา
http://www.babytrick.com/new-born-baby-tip/what-baby-love-to-see.html

กำหนดการฉีดวัคซีนในทารกแรกเกิดถึงเด็ก 16 ปี

การฉีดวัคซีนในทารกแรกเกิดถึงเด็ก 16 ปี


การฉีดวัคซีน คือ การฉีดเชื้อโรคชนิดนั้นเข้าสู่ร่างกาย แต่เป็นเชื้อโรคที่ถูกฆ่าแล้วหรือเป็นเชื้อโรคที่ถูกทำให้สงบแล้ว ไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งเมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย มันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้ย์ (ภูมิคุ้มกัน) ซึ่งเมื่อสร้างได้แล้วภูมิคุ้มกันนี้จะอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน ทำให้มีภูมิต้านทานโรคนั้นๆ บางชนิดแอนติบอดี้ย์จะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต คือฉีดครั้งเดียวก็พอ บางชนิดจะอยู่นาน 10 ปี หรือ 20 ปี เมื่อครบช่วงเวลาก็ต้องฉีดวัคซีนเพิ่มอีก

มาตราฐานการฉีดวัคซีนในประเทศไทย

ทารกแรกเกิด - วัคซีนบีซีจี (BCG) ป้องกันวัณโรค

ทารกอายุ 2 เดือน และ 4 เดือน- วัคซีนดีพีที (DPT) ป้องกันไอกรน คอตีบ บาดทะยัก, โปลิโอชนิดกิน, ฮิปวัคซีน

ทารกอายุ 9 เดือน - วัคซีนป้องกันโรคหัด

เด็กอายุ 15 เดือน - วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) ป้องกันหัด คางทูม และหัดเยอรมัน

อายุ 18 เดือน - วัคซีนดีพีที (DPT) ป้องกันไอกรน คอตีบ บาดทะยัก, โปลิโอชนิดกิน

อายุ 2 ปี - วัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์

อายุ 3 ปี - วัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์ และให้ฉีดทุก 3 ปี

อายุ 4-6 ปี - วัคซีนดีพีที (DPT) ป้องกันไอกรน คอตีบ บาดทะยัก, โปลิโอชนิดกิน

อายุ 14-16 ปี - วัคซีน ดี ที ชนิดผู้ใหญ่

นอกจากนี้ยังมีวัคซีนอื่นๆ เช่น วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ ฯลฯ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนค่ะ


ที่มา
http://www.babytrick.com/new-born-baby-tip/thai-vaccinate-time-schedule.html

รู้หรือไม่...สารอาหารมีผลต่อการตั้งครรภ์อย่างไร

สารอาหารมีผลต่อการตั้งครรภ์อย่างไร


เมื่อคุณแม่รู้ตัวว่าเริ่มตั้งครรภ์ ชีวิตของลูกก็เริ่มต้นเช่นกันค่ะ เริ่มตั้งแต่กำเนิดเซลแรกที่เริ่มแบ่งตัวขยายไปเรื่อยๆ เป็นอวัยวะต่างๆ เช่น แขน ขา กระดูก ในช่วง 4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์จะเป็นการสร้างอวัยวะต่างๆ ของลูกหลังจากนั้นอวัยวะต่างๆ ก็จะเจริญเติบโต มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงระยะคลอด ดังนั้นในช่วงที่ทารกอยู่ในท้องแม่ หากแม่ขาดสารอาหารหรือน้ำหนักน้อยลง ลูกก็จะขาดสารอาหารและน้ำหนักตัวน้อยลงด้วยเช่นกันค่ะ โดยเฉพาะในช่วงเดือนแรกๆ ของการตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบต่อลูกด้วย ยิ่งในช่วง 4 เดือนแรก หากแม่ขาดสารอาหารหรือน้ำหนักลดลงจะมีผลกระทบต่อน้ำหนักและความสูงของลูกด้วยค่ะ

ปกติทารกเมื่อคลอดจะมีน้ำหนักประมาณ 3,000-3,600 กรัม มีความยาวหรือสูงประมาณ 20-50 นิ้ว อาหารที่ได้รับจากแม่ไปจะไปเลี้ยงสมองเป็นอย่างแรกค่ะ เพราะสมองสำคัญที่สุด ที่เหลือก็จะส่งไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ถ้าแม่ขาดสารอาหารอวัยวะของลูกก็จะไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควรและยังอาจทำงานได้ไม่เหมาะสมอีกด้วย เช่น หากตับมีขนาดเล็กเกินไปก็อาจจะทำงานได้ไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ซึ่งอาจทำให้มีคลอเลสเตอรอลตกค้างในเลือดมากกว่าปกติ เมื่ออายุมากขึ้น อาการก็จะแสดงออกด้วยการมีคลอเลสเตอรอลสูง หัวใจวายได้ ดังนั้นร่างกายคนเราก็สะท้องมาจากการเจริญเติบโตตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั่นเอง นอกจากนี้บางรายพบว่าเด็กทารกมีความดันสูงตั้งแต่คลอดออกมาเลย ซึ่งก็จะเป็นผลร้ายต่อหัวใจได้

ในทางตรงกันข้าม หากแม่มีน้ำหนักมากเกินไป ก็จะทำให้ทารกมีน้ำหนักมากผิดปกติ น้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนของทารกจะขับอินซูลินออกมาตลอดเวลา โดยเฉพาะ 2-3 วันแรกหลังคลอด ซึ่งมีผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำไปด้วย ทำให้ร่างกายเคยชินกับการผลิตอินซูลินออกมามาก ถ้าเป็นเช่นนี้เมื่อเด็กโตขึ้นตับอ่อนจะทำงานหนักกว่าคนอื่น จนในที่สุดจะผลิตอินซูลินน้อยลงเรื่อยๆ เพราะทำงานหนักกว่าเมื่อเทียบกับคนที่มีอายุเท่ากัน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ค่ะ

ดังนั้นในช่วงที่ตั้งครรภ์นับตั้งแต่เดือนแรกจนคลอดลูกออกมา ถ้าคุณแม่ได้รับสารอาหารที่พอเหมาะจะทำให้เด็กในท้องเจริญเติบโตได้ดี มีพัฒนาการทางร่างกายที่แข็งแรง เมื่อเติบโตขึ้นโอกาสที่จะมีความผิดปกติก็ลดน้อยลงไปด้วย ดังนั้นคุณแม่ควรที่จะใส่ใจกับสารอาหารต่างๆ อย่าให้มากไปหรือน้อยเกินไปนะค่ะ


ที่มา
http://www.babytrick.com/pregnancy-period-tip/nutrition-effect-when-you-have-pregnant.html

เพลงคลาสสิคให้ทารกในครรภ์ฟังลูกจะฉลาดขึ้นจริงหรือ

เรื่องการเปิดเพลงให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง โดยเฉพาะเพลงโมสาร์ทด้วยแล้ว เขาว่ายิ่งทำให้ลูกที่จะเกิดมาฉลาด จริงหรือเปล่านะ ยังเป็นสิ่งที่ไม่มีคำตอบยืนยันจริงๆ เสียที วันนี้เรามาศึกษาให้ชัดเจนอีกครั้งว่า จะเป็นอย่างไร

เปิดเพลงคลาสสิคให้ทารกในครรภ์ฟังลูกจะฉลาดขึ้นจริงหรือ


มีความเชื่อที่เคยได้ยินได้ฟังมา (จากใครเป็นผู้เริ่มก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ) ว่าเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์อยู่ หากได้เปิดเพลงคลาสสิค เช่น เพลงของโมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart), เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven) ให้ลูกในท้องฟัง เมื่อเด็กคลอดออกมาจะมีความฉลาดเฉลียว น่ารัก และอารมณ์ดีกว่าการไม่ได้เปิดเพลงให้ลูกฟัง วันนี้เรามีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องนี้ค่ะ

เสียงต่างๆ รอบตัวเรามีผลกระทบอย่างไรกับตัวเราบ้าง

เสียงรอบๆ ตัวของเรามีผลต่ออารมณ์ของเราอย่างมากค่ะ บางครั้งเราได้ยินเสียงบางอย่าง เช่น หากเราไปนอนริมชายหาดฟังเสียงน้ำทะเลซัดเข้าหาฝั่งอย่างช้าๆ ผสมผสานกับสายลมที่พัดโชยมา จะทำให้เราเกิดความสบายใจ ผ่อนคลาย หรือหากเป็นเสียงรถวิ่ง เสียงบีบแตรจากรถยนต์ถี่ๆ นอกจากจะดังแสบแก้วหูแล้วยังทำให้อารมณ์ของเราหงุดหงิดไปด้วยค่ะ

เสียงต่างๆ รอบตัวของแม่ที่ตั้งครรภ์มีผลกระทบอะไรกับทารกในครรภ์

ทารกในครรภ์จะได้รับผลกระทบอย่างมากกับอารมณ์ของแม่ หากคุณแม่มีอารมณ์ที่ดี ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดฟินซึ่งทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และมีผลโดยตรงกับทารกในครรภ์ ทำให้ทารกผ่อนคลายไม่เครียด และทำให้การพัฒนาต่างๆ ของร่างกายทารกในครรภ์ดีกว่า

เสียงเพลงคลาสิกมีผลกระทบอะไรกับทารกในครรภ์

จากผลการวิจัยของนักวิจัย Dr. Leon Thurman ชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ได้ฟังเพลงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อคลอดทารกออกมา ทารกจะมีพัฒนาการด้านร่างกายและไอคิวสูงกว่าทารกที่ไม่ได้ฟังเพลง แต่การวิจัยของ Dr. Leon Thurman นี้ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นเพลงคลาสสิคเท่านั้นนะค่ะ และยังมีผลการวิจัยของ Dr. Thomas R. Verny ซึ่งเป็นจิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประเทศสหรัฐอเมริกา และยังเป็นประธานสมาคมเกี่ยวกับการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ท่านได้ทดลองให้คุณแม่ได้ร้องเพลงกล่อมเด็กขณะที่ยังตั้งครรภ์อยู่ทุกๆ วัน เมื่อคลอดออกมาหากร้องไห้หรืองอแง แต่เมื่อทารกได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กของแม่ที่แม่เคยร้องให้ฟังตั้งแต่สมัยตั้งครรภ์ ทารกจะนิ่งสงบลงและสนใจในเสียงเพลงกล่อมเด็กอย่างน่าอัศจรรย์

ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงคลาสสิคเท่านั้นหรอกนะค่ะทารกจึงจะมีพัฒนาการที่ดี เพราะผลการวิจัยไม่ได้ระบุไว้ แต่ระบุว่าเสียงที่มีผลก็คือ เสียงที่มีจังหวะทำนองเบาๆ เช่น เพลงบรรเลง แต่ที่เขาเลือกใช้เพลงคลาสสิคก็เพราะว่าเขาไม่มีเพลงบรรเลงแบบอื่น ในขณะที่ถ้าเป็นประเทศไทยเราก็สามารถใช้เพลงไทยเดิมที่มีจังหวะช้าๆ เบาๆ ทดแทนก็ได้ค่ะ อย่าไปเชื่อคำโฆษณาที่ว่าต้องเป็นเพลงคลาสสิคของคนนี้คนนั้นเท่านั้นนะค่ะ เพราะสิ่งสำคัญคือจังหวะและทำนองที่เบาๆ เพื่อกระตุ้นพัฒนาการของเด็กค่ะ หรือหากคุณแม่จะใช้วิธีร้องเพลงกล่อมเด็กให้ลูกฟังแทนก็ได้ค่ะ

แล้วเวลาไหนเหมาะที่จะให้ทารกในครรภ์ฟังเพลง

ช่วงตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือนเป็นต้นไปและควรจะเป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ได้พักสบายๆ ไม่เร่งรีบอะไร อาจจะเป็นช่วงเย็นๆ หลังอาหารเย็นก็ได้ หรือดูจากอาการของลูกว่าลูกตื่นตัวพร้อมจะรับฟังดนตรีหรือไม่ โดยสังเกตได้จากการดิ้นของลูก หากลูกดิ้นแสดงว่าลูกยังไม่หลับค่ะ เปิดเพลงหรือร้องเพลงกล่อมเด็กให้ลูกในท้องฟังครั้งละประมาณ 10-15 นาทีก็พอแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องเปิดทั้งวันทั้งคืนนะค่ะ และควรจะเปิดหรือร้องเพลงเดิมๆ เพื่อให้ลูกได้จดจำทำนองค่ะ

แล้วจะให้ทารกในครรภ์ฟังเพลงได้อย่างไร

เดี๋ยวนี้จะมีอุปกรณ์หูฟังขนาดใหญ่ที่เอาไว้คลอบท้องของคุณแม่ ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นต้องไปกังวลว่าลูกจะไม่ได้ยินขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ขอแค่ให้แม่ได้ยินเสียงเพลงอย่างชัดเจนก็ถือว่าใช้ได้แล้วค่ะ


ที่มา
http://www.babytrick.com/pregnancy-period-tip/baby-listen-classical-music-effect.html