วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

โอ๊ย!!! ลูกจะปิดเทอมแล้วทำไงดี..พาลูกเที่ยวที่ทำงานของคุณแม่

ช่วงเวลานี้ หลายๆ โรงเรียนต่างทยอยจัดสอบ และปิดเทอมกันไปบ้างแล้ว ทำให้เหล่าบรรดาเด็กๆ มีโอกาสลั้นลากันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเล่น หรือทำกิจกรรมอื่นๆ แต่สำหรับบ้านที่พ่อแม่ทำงานเช้าจรดค่ำ ครั้นจะฝากลูกไว้กับโรงเรียนกวดวิชา หรือปล่อยให้อยู่กันเองตามประสาพี่น้อง ยิ่งสร้างความกังวลใจไม่น้อย ทำให้พ่อแม่บางคนเลือกสำนักงาน หรือออฟฟิศของตัวเองเป็นพื้นที่เลี้ยงลูกชั่วคราวจนกว่าวันเปิดเทอมจะมาถึง

แต่การพาลูกมาที่ทำงานนั้น บางท่านมักปล่อยให้ลูกนั่งเล่น หรือวิ่งซนอย่างเดียว ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงต่ออุบัติเหตุแล้ว ยังรบกวนสมาธิคนอื่นอีกด้วย เอาเป็นว่า หากใครต้องพาลูกมาที่ออฟฟิศในช่วงปิดเทอมนี้ ลองถือโอกาสสอนทักษะชีวิตง่ายๆ ในที่ทำงานให้กับลูกกันดีกว่า

ฟังแนวทางได้จาก รศ.ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทร อดีตผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็ก และครอบครัว อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ในสำนักงานของคุณพ่อคุณแม่ บางแห่งสามารถใช้เป็นพื้นที่พูดคุย และสอนทักษะชีวิตให้ลูกได้หลายอย่าง เช่น คนเหล่านั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ พวกเขาใช้เครื่องมือเครื่องไม้ หรืออุปกรณ์อะไรบ้าง แต่งตัวกันอย่างไร คนไหนเป็นหัวหน้า หรือเจ้านาย ดูได้จากอะไร สิ่งเหล่านี้ เมื่อพ่อแม่ใส่ใจ เด็กๆ ก็จะสนุก ตื่นเต้น พร้อมกับได้เรียนรู้ประเภทของงานที่แตกต่างกันออกไปด้วย

"การพาลูกมาที่ทำงาน นอกจากให้ลูกนั่งเล่นเฉยๆ แล้ว สามารถใช้พื้นที่นี้สอนทักษะง่ายๆ ให้ลูกได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการสื่อสารระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง คำพูดที่ใช้มีความแตกต่างกันอย่างไร หรือระบบการทำงานที่ต้องใช้ความละเอียด รอบคอบ รวมไปถึงความรับผิดชอบ และการตรงต่อเวลา หากพ่อแม่พยายามชี้ให้ลูกได้เห็น ลูกจะค่อยๆ ซึมซับ และนำไปปรับใช้ในชีวิตการทำงานของเขาได้เป็นอย่างดี" รศ.ดร.สายฤดีกล่าว

นอกจากนี้ สำนักงาน หรือออฟฟิศ ยังสามารถปลูกฝังนิสัยให้ลูกรู้จักช่วยเหลือคนอื่นได้ดีไม่น้อย เช่น สอนให้ลูกช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พอจะทำได้ โดยไม่มีความเสี่ยงมากจนเกินไป อาทิ งานเดินส่งเอกสาร หรืออื่นๆ ตามความเหมาะสม อีกอย่างการที่ลูกได้เห็นพ่อแม่ทำงาน จะช่วยให้ลูกเข้าใจความทุ่มเทของพ่อแม่มากขึ้น

"พ่อแม่บางคนที่ยุ่ง หรือมีเวลาให้ลูกน้อย ถ้าลองให้ลูกได้เห็นการทำงานของพ่อแม่บ้าง ก็จะช่วยให้ลูกเข้าใจพ่อแม่มากขึ้น เช่น เห็นไหมลูก แม่ทำงานแบบนี้นะ ในห้องสี่เหลี่ยมแบบนี้นะ เพื่อที่ว่าสิ้นเดือน แม่จะได้มีเงินไปเลี้ยงลูก มีเงินไปซื้อนมให้น้อง หรือไปจ่ายค่าเช้าบ้าน ค่าเล่าเรียนให้หนู เป็นการสอนให้ลูกเข้าใจบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ที่ทำงานหนักเพื่อลูก ซึ่งลูกจะได้เห็นทั้งความอดทน ความพยายาม และความทุ่มเทของพ่อแม่ ทำให้ลูกรู้จักคิด และมีเหตุผลมากขึ้น" รศ.ดร.สายฤดีกล่าว

อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า การพาลูกมาที่ทำงาน พ่อแม่หลายท่านมักพะวงกับงานจนลืมให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของลูก ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นลิฟต์ บันได หรืออุปกรณ์สำนักงานต่างๆ พ่อแม่ควรสอนลูกให้รู้เท่าทัน และจัดเก็บในที่มิดชิดให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันเด็กนำมาอมเล่นจนลื่นลงหลอมลมหรือลำคอ เช่น เข็มหมุดติดบอร์ด ตัวหนีบ คลิปหนีบกระดาษ แม็กเย็บกระดาษ หรืออุปกรณ์สำนักงานที่มีความแหลมคม เช่น กรรไกร มีดคัทเตอร์ ตลอดจนอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ที่จะต้องสอนให้ลูกรู้จักระมัดระวัง ไม่เข้าไปเล่น หรือรบกวนคนอื่นๆ เพราะไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบงานในออฟฟิศได้

เห็นได้ว่า สำนักงานหรือออฟฟิศ เป็นพื้นที่สอดแทรกทักษะในการสอนลูกได้หลายอย่าง หากพ่อแม่ร่วมแบ่งปันความรู้สึกตื่นเต้น เวลาที่ถูกค้นพบ หรือได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จะยิ่งทำให้แรงจูงใจที่เรียนรู้ต่อสิ่งต่างๆ ของลูกเพิ่มมากขึ้น

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

"ค่ายเพศศึกษา" ดึงเด็กไทยเข้าใจอย่างสร้างสรรค์

"ใส่ถุงยาง 2 ชั้นดีกว่าใส่ชั้นเดียวจริงหรือไม่? หลั่งข้างนอกเป็นวิธีป้องกันการตั้งท้องที่มีประสิทธิภาพจริงหรือ? การกอดกันเสี่ยงติดเชื้อเอดส์ได้ไหม? ยาคุมฉุกเฉินกินเมื่อไรก็ได้จริงหรือ? ....." นี่คือตัวอย่างคำถามที่เด็กและเยาวชนหลายคนเกิดความสงสัยอยู่ในใจ และกลายเป็นความเข้าใจที่ผิดๆ จนนำไปสู่ความผิดพลาดที่สุดในชีวิต แต่วันนี้ทุกคำตอบจะถูกคลี่คลาย ด้วยการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเรื่องเพศศึกษากับค่าย "รวมพลังเยาวชนไทย ร่วมแก้ไขปัญหาสังคม" ในกิจกรรมรรณรงค์การป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น ภายใต้โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

โดยงานนี้มีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมโครงการกว่า 300 คน จาก 7 โรงเรียนภายใต้สังกัดกรุงเทพมหานคร อาทิ โรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร โรงเรียนปทุมคงคา โรงเรียนสีกัน (วัฒนานันท์อุปถัมภ์) โรงเรียนสุวรรณสุธาราม ฯลฯ เพื่อเข้ามาร่วมอบรมอย่างเข้มข้น ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของวิถีชีวิตเรื่องเพศ ตลอดจนเรียนรู้เรื่อง "โรคเอดส์" ในบรรยากาศที่แสนอบอุ่นจากพี่สอนน้อง โดยเครือข่ายเยาวชนคุย - เว้า - อู้ - แหลง

"น้องมาร์ค-ภูวนัส สีแดงดี" อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร หนึ่งในสมาชิกค่ายฯ เปิดประสบการณ์และมุมมองเรื่องเพศว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่มักมองเรื่องเพศเป็นเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ เห็นได้จากกิจกรรมเปิดให้แสดงความคิดเกี่ยวกับเมื่อพูดถึงเรื่องเพศจะนึกถึงอะไร สมาชิกลุ่มส่วนใหญ่ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงถุงยางอนามัย ยาคุมกำเนิด เจลหล่อลื่น อารมณ์ความรู้สึก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่พอได้มาทำกิจกรรมทั้ง 4 ฐานการเรียนรู้ คือคิดนอกกรอบ มีดีมีพลัง พลายกระซิบ กระจกเงา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยปรับความคิดและมุมมองในเรื่องเพศอย่างรอบด้าน ให้ฉุดคิดทบทวนพฤติกรรมที่ดีและไม่ดีของตนเอง ฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี รู้จักคิดวิเคราะห์และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

"เรื่องเพศศึกษามีอะไรให้เรียนรู้มากกว่าที่คิดไม่ใช่แค่การมีเพศสัมพันธ์อย่างที่หลายคนเข้าใจ ซึ่งในชีวิตจริงของเพศหญิงเพศชายยังมีองค์ประกอบอื่นๆ รวมอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคม การให้เกียรติซึ่งกันและกัน รู้จักปรับตัวและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศที่วัยรุ่นอาจมองข้ามไป" มาร์คอธิบายความเข้าใจจากกิจกรรมของค่ายฯ

ซึ่งไม่ต่างจากเพื่อนร่วมโรงเรียนอย่าง "น้องอาร์ม-อวิรุทธ์ ศิริหมัด" อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นม.4 ที่บอกว่า ประทับใจห้องเรียนชีวิตในค่ายนี้มาก ที่สามารถสร้างความเข้าใจเรื่องเพศที่ถูกต้องให้แก่เยาวชน ในการป้องกันปัญหาท้องไม่พร้อมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงความรู้ต่างๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยไม่ควรสวม 2 ชั้น เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่ายกว่าเดิม หรือแม้แต่การหลั่งข้างนอกไม่ใช่วิธีป้องกันการตั้งท้องที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งการกินยาคุมฉุกเฉินให้ปลอดภัยควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เพราะมีผลเสียต่อร่างกายของผู้หญิง ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องของผู้หญิง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ชายต้องเรียนรู้ด้วย

อย่างไรนั้น หากถามถึงเสน่ห์ของค่ายนี้ ตัวแทนจากโรงเรียนสุวรรณสุธาราม "ปรางค์ทิพย์ ปิยะวัติ" หรือ "น้องปู" อายุ 18 ปี เล่าให้ฟังว่า การมาเข้าค่ายในครั้งนี้ได้ทั้งความสนุกและได้รับความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาอย่างเข้าใจ เมื่อเปรียบเทียบกับการสอนโดยการบรรยายตามตำราเรียน พร้อมเปิดใจยอมรับว่าคนทุกเพศสามารถเป็นเพื่อนกันได้ และไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหากคนปกติจะอยู่ร่วมบ้าน ร่วมชั้นเรียนกับผู้ติดเชื้อเอดส์ เพราะมันไม่สามารถติดต่อกันได้ง่ายๆ เว้นแต่จะมีเพศสัมพันธ์หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

"การใช้กิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดแบบพี่สอนน้อง ช่วยกระตุ้นให้ทุกคนตื่นตัวและเปิดใจรับฟังมากขึ้น สอดแทรกแง่คิดให้รู้จักการวางตัวที่เหมาะสมกับเพื่อนเพศเดียวกันและเพื่อนต่างเพศ รู้จักป้องกันตนเองและรู้จักปฏิเสธ สิ่งสำคัญที่ได้ค้นพบ คือ ประสบการณ์เรื่องเพศที่ถูกถ่ายทอดในกลุ่มเพื่อนไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องเสมอไป ดังนั้นจะนำเอาความรู้ที่ได้รับ ไปเผยแพร่แก่น้องๆ ในโรงเรียนผ่านเสียงตามสายสร้างความเข้าใจเรื่องเพศที่ถูกต้องต่อไป" น้องปูบอกถึงเจตนารมณ์

เห็นไหมว่า การเรียนรู้เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะพูดถึงกัน หากทุกคนเข้าใจและยอมเรียนรู้ แน่นอนว่าทุกความรู้ที่ได้รับจากผู้ใหญ่จะเป็นเครื่องเตือนใจให้กับเด็กๆ ไม่หลงไปทำในสิ่งที่ผิดพลาดเหล่านั้น อีกทั้งยังสามารถเริ่มต้นเรียนรู้ได้ตั้งแต่ในครอบครัว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องเปิดใจและสอนลูกอย่างถูกวิธี เพียงเท่านี้ก็สามารถลดปัญหาดังกล่าวลงได้ไม่น้อยทีเดียว

สำหรับกิจกรรมค่าย "รวมพลังเยาวชนไทย ร่วมแก้ไขปัญหาสังคม" รณรงค์ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น จะจัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 2 ในวันที่26 กันยายนนี้ ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ เพื่อสร้างเครือข่ายเยาวชนต้นแบบ ในการหยุด! การตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น สู่เป้าหมายในการลดหรือชะลอปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมของสังคมไทยในระยะยาวต่อไป

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ข้อคิดก่อนตัดสินใจส่งลูกเรียนกวดวิชาช่วงปิดเทอม

ข้อคิดก่อนตัดสินใจส่งลูกเรียนกวดวิชาช่วงปิดเทอม

ช่วงนี้บางโรงเรียนได้ปิดเทอมไปแล้ว และอีกหลายๆ โรงเรียนก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่มักจัดการให้ลูกก็คือการเรียนพิเศษ ก่อนที่จะให้ลูกเรียนพิเศษ พ่อแม่มีอะไรที่ได้คิดเอาไว้ก่อนหรือไม่ วันนี้ผมจะแนะนำบทความนี้ให้ท่านลองอ่านก่อนตัดสินใจนะครับ

----------------------------------------------------
จำได้ว่าสมัยเมื่อตัวเองยังเป็นเด็ก ก็ไม่ต่างจากเด็กทั่วไป ที่พ่อแม่ก็ส่งไปเรียนกวดวิชาในช่วงปิดเทอม ทั้งที่ไม่ได้ต้องการเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ต้องไปด้วยเหตุผลที่เพื่อนๆ ก็ไปเรียนกันทั้งนั้น ซึ่งเป็นช่วงอึดอัดไม่อยากทำแต่ต้องจำใจไป ทำให้บางวันก็โดด หรือไม่ก็แอบหนีไปทำกิจกรรมที่ชื่นชอบแทน เพราะเบื่อที่ต้องเรียนกันทั้งปี ปิดเทอมก็ไม่ได้หยุด

จนกระทั่งถึงคราวตัวเองมีลูก ถึงเข้าใจดีว่าถ้าจะส่งลูกไปเรียนกวดวิชา เขาควรมีส่วนร่วมด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จะเกิดประโยชน์อันใดเล่า…!!!

แต่ดูเหมือนสถานการณ์พ่อแม่ส่งลูกไปเรียนกวดวิชาในยุคปัจจุบันหนักข้อเข้าไปอีก จากที่ในอดีตพ่อแม่ส่งลูกไปเรียนในช่วงวัยมัธยม แต่ยุคนี้พ่อแม่ส่งไปตั้งแต่วัยเล็กๆ ระดับอนุบาลหรือประถมศึกษากันซะแล้ว

ตลาดรวมของธุรกิจสถาบันกวดวิชาหรือกิจกรรมพิเศษในช่วงปิดเทอมเติบโตขึ้นทุกปี นี่ยังไม่นับรวมเด็กที่ต้องเรียนพิเศษในช่วงเย็นหรือช่วงวันเสาร์อาทิตย์ของช่วงการเรียนปกติ เพื่อรองรับในย่านที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวออกไปตามชานเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตามห้างสรรพสินค้า ที่ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จของแหล่งสถาบันกวดวิชาที่จะเป็นแหล่งรวมกิจกรรมมากมาย

ประมาณว่าส่งลูกเรียน พ่อแม่ชอปปิ้ง และใช้ชีวิตร่วมกันให้ห้างสรรพสินค้านั่นแหละ

ช่วงปีที่ผ่านมา ดิฉันเดินทางไปทั่วทุกภูมิภาค สังเกตเห็นได้ชัดว่า โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังจากกรุงเทพไปเปิดสาขาในต่างจังหวัดตามหัวเมืองกันเนืองแน่น รูปแบบการใช้ชีวิตของเด็กต่างจังหวัดก็เปลี่ยนไป ไม่ต่างจากเด็กเมืองหลวงอีกต่อไป ช่วงวันหยุดหรือช่วงปิดเทอม เด็กๆ ก็จะถูกส่งไปเรียนกวดวิชากันพรึ่บพรั่บ

เหตุผลหลักของพ่อแม่ในการส่งลูกไปเรียนกวดวิชา เพราะอยากให้ลูกเรียนเก่ง อยากให้ลูกเรียนล่วงหน้าของระดับชั้นต่อไป อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนชื่อดัง ไม่มีเวลาอยู่กับลูกเพราะต้องทำงานนอกบ้าน ฯลฯ

สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในบ้านเราเท่านั้น ประเทศในโซนเอเชียเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้แห่ขยายกันไปทั่ว เช่น เด็กเกาหลีที่หนักหนาทั้งเรียนในโรงเรียนและเรียนกวดวิชา เด็กจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กตามหัวเมืองใหญ่ ส่งลูกเรียนพิเศษตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลกันซะแล้ว

เรียกว่ายิ่งเด็กโตขึ้น เด็กก็ยิ่งมีภาระในการเรียนมากขึ้นจนไม่มีเวลาว่าง ซึ่งไม่ต่างจากผู้ใหญ่ที่ต้องทำงานหนัก เพราะผู้ปกครองต่างพยายามเคี่ยวเข็ญลูกโดยหวังว่าลูกจะได้เข้าโรงเรียนมัธยมที่ดี เพื่อกรุยทางสู่ระดับมหาวิทยาลัยต่อไป

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ในแต่ละวัน เด็กๆ ส่วนใหญ่ ใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนนานถึง 9-10 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าชั่วโมงทำงานของผู้ใหญ่เสียอีก

การเตรียมลูกให้มีความพร้อมเพื่อการแข่งขันทางการศึกษาในอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ต้องไม่ลืมว่าเด็กก็คือเด็ก ที่ยังต้องการเวลาเล่นสนุกบ้าง ไม่ใช่ให้ตะบี้ตะบันเรียนเพียงอย่างเดียว มีหลายสิ่งอย่างที่ควรให้ลูกมีทักษะการใช้ชีวิตอย่างรอบด้านด้วย

มีข้อคิดก่อนตัดสินใจส่งลูกเรียนกวดวิชามาฝาก

หนึ่ง ถามตัวเองก่อนว่าถ้าให้ลูกอยู่บ้านแล้วทำกิจกรรมร่วมกับลูกได้หรือไม่ เพราะลูกเราก็เรียนมาตลอดทั้งปี เราเองทำงานยังเหนื่อยต้องการวันหยุดพักร้อน แล้วนับประสาอะไรกับเด็กๆ ที่ต้องการวันหยุดพักผ่อนเช่นกัน

สอง ถามลูกก่อน ว่ายากเรียนหรือเปล่า ถ้าเป็นกจกรรมที่ลูกชอบหรือร้องขอก็ป็นเรื่องดี เพราะเป็นกิจกรรมที่เขาหรือเธอตัวน้อยชอบ แต่ถ้าพ่อแม่บังคับให้เรียน ก็ต้องคิดว่าแล้วลูกจะได้อะไรตามมา

สาม ถ้าจำเป็นต้องให้ลูกกวดวิชาจริงๆ เพราะไม่มีคนดูแลลูก เนื่องเพราะต้องทำงานนอกบ้านทั้งพ่อและแม่ ก็ควรให้ลูกมีส่วนต่อการตัดสินใจหรือเลือกว่าจะเรียนอะไร ถ้าเขาได้เลือกเองจะทำให้ได้ประโยชน์เต็มจากการเรียนนั้นๆ

ปัจจุบันนอกจากการเรียนกวดวิชา ก็มีกิจกรรมเสริมทักษะอื่นๆ อีกมากมายเป็นตัวเลือก ควรจะดูรายละเอียดด้วยว่าแต่ละแห่งเขามีกิจกรรมอะไรบ้าง เหมาะกับลูกของเราหรือไม่ ต้องไม่ลืมว่าการจะส่งลูกไปทำกิจกรรมในช่วงปิดเทอมควรจะให้ลูกได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเพราะไม่มีใครดูลูกเท่านั้น

สำหรับพ่อแม่ทำงาน ก็เข้าใจได้ว่าช่วงปิดเทอมอาจไม่มีใครช่วยดูแลลูก จะปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียวก็ไม่ได้ ลองพูดคุยกับหัวหน้างานดูสิคะว่า ขอให้ลูกไปที่ทำงานบ้าง สลับกันกับที่ทำงานของพ่อและแม่ เป็นการสอนให้ลูกได้เรียนรู้ด้วยว่าพ่อแม่ต้องทำงาน ทุกคนต้องมีหน้าที่ ลูกเองตอนนี้มีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือ เมื่อสำเร็จการศึกษาก็ต้องมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ จะทำให้ลูกเข้าใจด้วยว่า พ่อแม่ต้องเหนื่อยในการทำงานหาเงิน เพื่อดูแลครอบครัว

หรือไม่ก็บริหารจัดการช่วงปิดเทอมของลูก เป็นช่วงลาพักร้อนของพ่อแม่ในการพาลูกไปเรียนรู้จากสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีสำหรับเด็ก จะช่วยสร้างทักษะการคิดและเรียนรู้โลกกว้างได้ดียิ่ง

เป็นธรรมดาที่พ่อแม่อยากมอบสิ่งที่ดีให้ลูก แต่สิ่งที่ดีไม่ได้มีแค่ในห้องเรียนเท่านั้นค่ะ



ที่มา
ข้อคิดก่อนส่งลูกเรียนกวดวิชาช่วงปิดเทอม
บทความโดยสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
ผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

"ไวรัสโรต้า" อันตรายในบ้านที่อย่ามองข้าม

"ไวรัสโรต้า" อันตรายในบ้านที่อย่ามองข้าม

ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาของฤดูฝน ทำให้ทุกบ้านใส่ใจป้องกันโรคที่มีสาเหตุมาจากยุงกัน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาของการเพาะพันธุ์ยุงที่เป็นพาหะตามแหล่งน้ำขังต่างๆ จนหลงลืมดูแลเรื่องสุขภาพอนามัยในด้านอื่นๆ เช่น การขับถ่ายที่บางครั้งมีอาการรุนแรงจนกลายเป็นโรคท้องร่วง หลายคนมองว่าเป็นโรคที่จะเกิดขึ้นได้เฉพาะฤดูร้อน แต่โรคท้องร่วงน่ากลัวกว่าที่คิด เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกฤดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กเล็กที่ยากต่อการหลีกเลี่ยงและมีความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

"พญ. ศุภรัตนา คุณานุสนธิ์" กุมารแพทย์ โรงพยาบาลเวชธานี สะท้อนความเห็นว่า จากอุบัติการณ์ทั่วโลก สาเหตุของอาการท้องร่วงที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งในเด็กเล็ก "เชื้อไวรัสโรต้า" นับเป็นเชื้อไวรัสที่พบบ่อยที่สุด ก่อให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับอาการท้องร่วงที่มาจากการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วในแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็ยังสามารถเกิดโรคนี้ได้ โดยเฉพาะในอเมริกาที่มีการระบาดของโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคนี้นับล้านคน แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ มีเด็กเสียชีวิตจากโรคนี้เฉลี่ย 100 คนต่อปี และรุนแรงที่สุดทั่วโลกโดยมีเด็กเสียชีวิตถึงปีละล้านคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ของแต่ละพื้นที่ในการรักษาและช่วยชีวิตเด็กไว้ได้มากน้อยแค่ไหน โดยจะเห็นได้ว่าแม้แต่ประเทศที่มีความรู้ด้านสาธารณสุขและสุขอนามัยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นจากการติดเชื้อไวรัสโรต้าได้ ฉะนั้นทุกคนควรหันมาทำความรู้จักกับไวรัสโรต้าให้มากขึ้น เพื่อเตรียมรับมือกับโรคนี้ได้อย่างถูกต้อง

แม้เชื้อไวรัสตัวนี้จะพบมากในช่วงฤดูหนาว แต่ก็ขึ้นอยูกับการดูแลรักษาความสะอาดสุขอนามัย เพราะทุกคนสามารถรับเชื้อได้จากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ โดยเฉพาะในเด็กที่ชอบหยิบสิ่งของเข้าปาก ชอบอมของเล่นที่มีเชื้อโรคเกาะอยู่ เนื่องจากเชื้อไวรัสโรต้าจะมีชีวิตอยู่ตามวัตถุสิ่งของในอุณภูมิปกติ โดยระยะฟักตัวของโรคนี้จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อเกิน 48 ชั่วโมง

"ไวรัสโรต้า เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมาก เนื่องจากมันชอบแฝงตัวอยู่ตามสิ่งของต่างๆ เช่น ของเล่น ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้นานหลายวัน โดยก่อให้เกิดโรคในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด รวมถึงสัตว์ปีกด้วย ซึ่งจัดเป็น RNA ไวรัส ที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงในเด็กเล็กอายุระหว่าง 3 เดือนไปจนถึง 2 ขวบ" พญ. ศุภรัตนา กล่าว

ขณะเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่บางคนยังนิ่งนอนใจกับอาการท้องร่วงของลูกน้อยคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเด็กในวัย 3 เดือนถึง 2 ขวบ เป็นวัยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงจากไวรัสโรต้าได้มากที่สุด โดยจะมีอาการไข้ อาเจียน ท้องเสียโดยถ่ายเหลวเป็นระยะ 1-2 วัน ซึ่งมีกลิ่นเหม็นเน่า หรืออาจพบอุจจาระเป็นมูกแต่ไม่มีเลือดปนประมาณ 5-7 วัน

"หากพบปัญหาดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่สามารถรักษาในเบื้องต้นโดยการให้ลูกดื่มน้ำเกลือแร่สำหรับเด็ก เพราะขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง แต่หากเกินกว่านั้นควรรีบพาไปพบแพทย์ด่วน เนื่องจากไม่มียารักษาเฉพาะ แต่จะรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น หรือแนะนำให้ชงนมจางลงกว่าเดิม หรือเลือกนมที่ไม่มีแลตโตสให้กับลูก เพราะในช่วงที่เด็กท้องร่วงลำไส้จะลดเอนไซม์ในการย่อยแลตโตสชั่วคราว ในรายที่ท้องร่วงและอาเจียนมากๆ อาจจะต้องนอนเพื่อให้แพทย์ตรวจดูอาการที่โรงพยาบาล 1-2 วัน "

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพของลูกน้อยให้ปลอดภัยจากโรคท้องร่วงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ กุมารแพทย์จึงฝากเตือนทุกบ้านว่า คุณพ่อคุณแม่จะต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยให้มาก เช่น ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อลูกสัมผัสกับของเล่นหรือสิ่งของของผู้อื่นที่ไม่แน่ใจว่าจะมีเชื้อโรคอยู่หรือไม่ และควรทำความสะอาดของเล่นของลูกเป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือช่วยให้ความรุนแรงของอาการลดน้อยลง แม้ว่าปัจจุบันจะมีวัคซีนหยอดเพื่อป้องกันเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถลดการติดเชื้อได้หรือลดความรุนแรงของอาการได้ก็จริง แต่ข้อเสียของวัคซีนตัวนี้ก็มีไม่น้อย ทั้งราคาค่อนข้างแพง การใช้วัคซีนจึงอยู่ในวงจำกัด และไม่ได้อยู่ในโปรแกรมของการให้วัคซีนแก่เด็กทั่วประเทศอีกด้วย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ยิ่งออกกำลังกาย เด็กยิ่งกระตุ้นสมองให้จำดีขึ้น

เด็กยิ่งออกกำลังกาย ยิ่งกระตุ้นสมองให้จำดีขึ้น

ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นผลการเรียนของลูกมีอันดับที่เพิ่มขึ้น ลองขยายชั่วโมงการเล่นของลูกออกไปอีกสักหน่อยดูดีไหมคะ เพราะนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เด็กที่มีร่างกายแข็งแรง จะ "ฉลาด และมีความจำดีกว่า" เด็กที่ขาดการออกกำลังกาย เหตุที่นักวิจัยกล่าวเช่นนั้นเพราะมีการค้นพบว่า สมองส่วนที่ควบคุมด้านความจำและการเรียนรู้ของเด็กที่มีร่างกายแข็งแรง จะมีขนาดใหญ่กว่าเด็กอ่อนแอถึง 12 เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า การออกกำลังกายตั้งแต่ยังเล็กช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นในโรงเรียน

งานวิจัยชิ้นนี้มาจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกาซึ่งได้ทำการศึกษาการทำงานของสมองเด็กจำนวน 49 คนที่มีอายุระหว่าง 9 - 10 ปีโดยการสแกน MRI พร้อม ๆ กับได้ทดสอบความฟิตของร่างกายโดยให้เด็ก ๆ กลุ่มนี้วิ่งบนลู่วิ่งในเวลาที่กำหนด

ผลการทดลองพบว่า สมองส่วนฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นสมองที่ควบคุมด้านความจำและการเรียนรู้ในเด็กกลุ่มที่ร่างกายแข็งแรงนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเด็กอ่อนแอประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว และเมื่อมาทดสอบความจำ ก็พบว่าเด็กกลุ่มที่ร่างกายแข็งแรงมีความจำดีกว่าเด็กกลุ่มที่ร่างกายอ่อนแอด้วย

ศาสตราจารย์อาร์ท คราเมอร์ (Art Kramer) ผู้ทำการศึกษาในเรื่องนี้ กล่าวว่า การศึกษานี้มีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะกระตุ้นให้เด็กได้มีโอกาสออกกำลังกายตั้งแต่อายุยังน้อย

"สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก ทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อม สถานะทางสังคม ล้วนมีผลต่อการพัฒนาของสมอง"

หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเด็กต้องการทำให้การวิจัยครั้งนี้มีประโยชน์มากขึ้น ทั้งพ่อแม่ โรงเรียน และคุณครูก็คงต้องหันมาให้ความสนใจกับกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้ออกกำลังกาย มากกว่าการอัดเนื้อหาวิชาเพียงอย่างเดียว เพราะในงานวิจัยชิ้นนี้ก็ระบุเอาไว้เช่นกันว่า 33 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่ไม่ได้ออกกำลังกายตามสมควรนั้นจะเป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานในที่สุด


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

เตือนพ่อแม่เลือกใช้พลาสติกผิดวิธี ลูกเสี่ยงเบี่ยงเบนทางเพศ!!!

ปัจจุบัน "พลาสติกบรรจุอาหาร" ไม่ว่าจะเป็นกล่องโฟม ถุงพลาสติกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของทุกครัวเรือนไปแล้ว ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากเลือกใช้ไม่ถูกวิธี ยังก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายได้ไม่น้อย ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ บ้านตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

แต่สำหรับข่าวที่ทีมงาน Life and Family จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่พ่อแม่ยุคใหม่ควรพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะมีข้อมูลพบว่า หากเลือกใช้พลาสติกผิดวิธี นอกจากร่างกายจะได้รับสารพิษแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพเด็กในระยะยาว เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง และพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศได้

ประเด็นนี้ แพทย์หญิงนัยนา ณีศะนันท์ กุมารแพทย์ หน่วยกุมารเวชศาสตร์สังคม สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และหัวหน้าโครงการอาหารปลอดภัย เด็กไทยพ้นภัยสารพิษพสาสติก เปิดเผยว่า ผู้บริโภคที่เป็นพ่อแม่ หรือผู้ปกครองของเด็กส่วนใหญ่ ยังขาดความรู้ และความเข้าใจในการเลือกซื้อ ตลอดจนวิธีการเลือกใช้ภาชนะพลาสติกแต่ละประเภทที่ถูกต้อง และปลอดภัย ส่งผลให้สารเคมีต่างๆ ปนเปื้อนลงไปในอาหาร เช่น สาร BPA ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตพลาสติกชนิดแข็งใสที่เรียกว่าโพลีคาร์บอเนต เป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตขวดนมสำหรับเด็ก

"พสาสติกชนิดนี้ เมื่อถูกกับความร้อนจากการต้มจะทำให้สาร BPA ละลายออกมาปนเปื้อนในอาหาร โดยทางศูนย์พิษวิทยาแห่งชาติ (NTP) ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า สารชนิดนี้จะส่งผลต่อระบบประสาทพัฒนาการของทารกในครรภ์ เด็กทารก และเด็กเล็ก เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านมได้ นอกจากนี้งานวิจัยในต่างประเทศยังพบต่อว่า สาร BPA มีลักษณะเป็นตัวกวนฮอร์โมน ทำให้ฮอร์โมนเพศในร่างกายของเด็ก เกิดความสับสน ส่งผลต่อการเบี่ยงเบนทางเพศ และลดความสามารถในการสืบพันธุ์ในอนาคต" พญ.นัยนาเผยข้อมูล

สำหรับกรณีที่สาร BPA สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเพศของเด็กได้นั้น มีข้อมูลงานวิจัยระบุว่า เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ของเพศหญิง ทำให้สเปริม์ลดลง สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเพศของเด็กได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับผลของสาร BPA ต่อสุขภาพของคนในระยะยาวยังไม่ชัดเจน จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติ่ม ส่วนมาก BPA เป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอนเนต (polycarbonate) มักนำไปใช้ทำขวดน้ำ เหยือกน้ำ ขวดนม ขวดน้ำบรรจุ 5 ลิตร ขวดน้ำนักกีฬา ใช้บุกระป๋องโลหะสำหรับใส่อาหาร เป็นถ้วยใส ช้อนส้อม มีดชนิดใส เป็นต้น โดยพ่อแม่สามารถลดโอกาสเสี่ยงให้ลูกได้ ด้วยการใช้ขวดนม และของเล่นที่ปลอดสาร BPA ห้ามใช้ภาชนะพสลาติกที่ทำจากโพลีคาร์โบเนตกับไมโครเวฟ และลดการบริโภคอาหารกระป๋อง แล้วหันมาบริโภคอาหารสดแทน

จะเห็นได้ว่า พลาสติกบรรจุอาหารมีทั้งประโยชน์ และโทษ หากเลือกใช้ไม่ถูกวิธี อาจนำมาซึ่งโรคร้ายได้ เพื่อเป็นแนวทางให้กับพ่อแม่ยุคใหม่ในการเลือกใช้ภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารให้ปลอดภัย ทีมงานมีข้อมูลที่เป็นประโยขน์จากโครงการอาหารปลอดภัย เด็กไทยพ้นภัยสารพิษพลาสติกมาส่งต่อเป็นความรู้กัน

*** ถุงพลาสติก

ถุงพลาสติกมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ ประกอบด้วย ถุงร้อนใส ทำจาก PP และถุงร้อนขุ่น ทำจาก HDPE เหมาะสำหรับการบรรจุของร้อน และอาหารที่มีไขมัน ทนความร้อนได้ถึง 100-120 องศาเซลเซียส
แบบที่สอง คือ ถุงเย็น ทำจาก LDPE ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างใสนิ่ม ยืดหยุ่นพอสมควร เหมาะสำหรับใช้บรรจุอาหารแช่แข็ง แต่ทนความร้อนได้ไม่มาก และแบบสุดท้าย คือ ถุงหิ้ว หรือถุงก๊อบแก๊บ ทำจาก LDPE/HDPE ถุงชนิดนี้ไม่ปลอดภัยต่อการบรรจุอาหารทุกชนิด เพราะส่วนใหญ่ผลิตจากเม็ดพลาสติก recycle

ดังนั้น พ่อบ้านแม่บ้าน ควรเลือกใช้ถุงพลาสติกให้เหมาะสมกับอาหารที่อุณหภูมิต่างๆ โดยดูฉลาก ส่วนอาหารทอดใหม่ๆ มีอุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส อาจทำให้ถุงพลาสติกหลอมละลาย และปนเปื้อนสู่อาหารได้ ทางที่ดี ควรพักอาหารทอดให้คลายความร้อนก่อนบรรจุใส่ถุงร้อน

*** กล่องโฟม

กล่องโฟมใส่อาหาร ไม่ทนต่อความร้อน ถ้าผู้ขายไม่รองใบตอง หรือถุงร้อนทั้งด้านบน และล่างของกล่องโฟมก่อนวางอาหาร เมื่อถูกความร้อนจากอาหาร สารเคมีจะละลายได้ง่ายขึ้น และออกมาปนเปื้อนกับอาหาร นอกจากนี้ ไม่ควรใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารกับของร้อน อาหารไขมัน เพราะหากสังเกตให้ดี เมื่อเปิดฝาดูจะเห็นฝาด้านในของโฟมละลายเป็นหลุมๆ ส่วนที่หายไปก็ตกอยู่ในอาหาร

อย่างไรก็ดี ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาห้ามใช้พวกพลาสติกที่เป็นโฟมที่ทำจากสไตรีนมาเป็นภาชนะที่จะบรรจุอาหารร้อน และเย็น หากจะใช้ต้องไม่ใช้กับของร้อน เพราะสารสไตรีนมีโอกาสหลุดออกมา โดยสารเคมีตัวนี้จะไปทำลายฮอร์โมนในร่างกายของเด็ก มีผลต่อสมอง ระบบประสาท เม็ดเลือดแดง ตับ และไตได้

*** เมลามีน

- เมื่อซื้อภาชนะเมลามีนมาใช้ใหม่ๆ ควรจะล้างด้วยน้ำร้อนก่อนการใช้งาน เพื่อชะล้างสิ่งสกปรก และฟอร์มาลดีไฮด์บางส่วนออกไป

- ภาชนะเมลามีน ไม่ควรใช้ใส่อาหารที่มีอุณหภูมิเกิน 80 องศาเซลเซียส อาหารที่เป็นกรด เช่น อาหารหมักดอง น้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว เป็นต้น

- ไม่ควรใช้อุ่นอาหารร้อน หรือปรุงอาหารให้สุกกับเตาไมโครเวฟ แต่ถ้ามีความจำเป็น อาหารที่มีอุณหภูมิร้อนจัด เช่น น้ำเดือด ของทอดร้อนๆ จากกระทะ ไม่ควรนำมาใช้ใส่ภาชนะเมลามีนโดยตรง ต้องพักไว้ให้คลายความร้อนลงประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้อุณหภูมิอาหารลดลง ก่อนนำไปใส่ภาชนะเมลามีน

หากพ่อแม่เลือกซื้อภาชนะเมลามีนให้ลูก ควรเลือกที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพราะหากเป็นภาชนะเมลามีนที่มีคุณภาพต่ำ เมื่อได้รับความร้อนสูง จะเพิ่มอัตราการแพร่กระจายของฟอร์มาลดีไฮด์ในระดับสูงตามไปด้วย และเมื่อสะสมเข้าสู่ร่างกายนานๆ ก่อให้การมะเร็งทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร ร่วมทั้งระคายเคืองระบบทางเดินหายใจได้

*** ขวดนมเด็ก

สำหรับขวดนมลูก พ่อแม่ห้ามอุ่นขวดนมเด็กทุกชนิดในเตาไมโครเวฟ เพราะขวดนมเด็ก โดยส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติกชนิดโพลีคาร์โบเนต แต่ควรแช่ขวดนมในน้ำอุ่นๆ ถึงร้อนแทน ถ้าเป็นไปได้ ควรซื้อขวดนมที่ระบุว่า "ปลอดสาร BPA หรือ BPA Free" หรือเลือกขวดนมที่ทำมาจากพลาสติก PP หรือแก้วแทน ที่สำคัญ ควรทิ้งขวดนม และแก้วน้ำดื่มเมื่อพบรอยข่วน ร้อยร้าว หรือการเปลี่ยนสี

ถึงแม้ว่าภาชนะพลาสติกเป็นสิ่งที่ทุกบ้านปฏิเสธไม่ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถรู้ทัน และรู้จักเลือกใช้ภาชนะพลาสติกอย่างถูกวิธีได้ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายที่จะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวระยะยาวตามมา


การ์ตูนแอนิเมชันเรื่อง "ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้ พลาสติกบรรจุอาหาร"




ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ข้อดีและข้อเสียของfacebookกับลูกในช่วงวัยรุ่น

ข้อดีและข้อเสียของfacebookกับลูกในช่วงวัยรุ่น
โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

ในปัจจุบัน FaceBook หรือ Twitterเป็นสิ่งที่นิยมกันมากในหมู่วัยรุ่นและบุคคลที่ต้องการสื่อสารสัมพันธ์กัน แม้ว่า FacBook จะถูกสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถติดต่อสัมพันธ์กันในทางบวก แต่จากการศึกษาพบว่าในทางกลับกันFaceBookก็สามารถเป็นสื่อที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ในเวลาเดียวกัน

ก่อนอื่นเรามาดูกันว่า FaceBook คืออะไร?

FaceBook เป็นซอฟท์แวร์ในการสร้างเครือข่ายทางสังคมในโลกอินเตอร์เน็ต โดยผู้ใช้สามารถใส่ข้อมูลต่างๆที่ต้องการ หรือใส่ความสนใจที่ชอบ จากนั้นระบบจะค้นหาผู้ที่มีความสนใจในลักษณะเดียวกัน และผู้ใช้สามารถเพิ่มหรือลบในการเชื่อมต่อไปหาผู้ใช้อื่นๆได้

ประวัติของ FaceBook

ผู้เริ่มต้นคิดค้น FaceBook คือ Mr. Mark Zuckerburg อายุ 23 ปี เมื่อปี ค.ศ. 2003 ในขณะนั้นเป็นนักศึกษาแผนกจิตวิทยา ของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด สหรัฐอเมริกา โดยเปิดให้เป็นบริการหนึ่งของนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดในการศึกษาหาข้อมูลเท่านั้น แต่เนื่องจากมีสมาชิกมาใช้บริการกันอย่างล้นหลามจึงทำให้มีการขยายเครือข่ายมากขึ้นและพัฒนามาถึงหลายล้านคนในโลกปัจจุบัน

ข้อดีและข้อเสียของ FaceBook

ข้อดี

1.FaceBook จะเป็นการสร้างเครือข่ายและจุดประกายด้านการศึกษาได้อย่างกว้างขวาง หากใช้ได้อย่างถูกวิธี

2.ทำให้ไม่ตกข่าว คือทราบความคืบหน้า เหตุการณ์ของบุคคลต่างๆและผู้ที่ใกล้ชิด

3.ผู้ใช้สามารถสร้างเครือข่ายทางสังคม แฟนคลับหรือผู้ที่มีเป้าหมายเหมือนกัน และทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้

4.สามารถสร้างมิตรแท้ หรือเพื่อนที่รู้ใจที่แท้จริงได้

5.FaceBook เป็นซอฟแวร์ที่เอื้อต่อผู้ที่มีปัญหาในการปรับตัวทางสังคม ขาดเพื่อน อยู่โดดเดี่ยว หรือผู้ที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ ให้มีเครือข่ายทางสังคม และเติมเต็มชีวิตทางสังคมได้อย่างดี ไม่เหงาและปรับตัวได้ง่ายขึ้น

6.สร้างเครือข่ายที่ดี สร้างความเห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจที่ดีแก่ผู้อื่นได้

ข้อเสีย

1.FaceBook เป็นการขยายเครือข่ายทางสังคมในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นการมีเพิ่มเพื่อนเครือข่ายที่ไม่รู้จักดีพอ จะทำให้เกิดการลักลอบขโมยข้อมูล หรือการแฝงตัวของขบวนการหลอกลวงต่างๆได้

2.เพื่อนทุกคนในเครือข่ายสามารถเขียนข้อความต่างๆลง Wall ของ FaceBook ได้แต่หากเป็นข้อความที่เป็นความลับ การใส่ร้ายกัน หรือแฝงไว้ด้วยการยั่วยุต่างๆ จะทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีวุฒิภาวะพอ หลงเชื่อ เกิดความขัดแย้ง และปัญหาตามมาในภายหลังได้

3.Facebook อาจเป็นช่องทางในการสร้างสังคมแห่งการนินทา หรือการยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะสังคมที่ชอบสอดรู้สอดเห็น

4.การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดให้กับบุคคลภายนอกที่ไม่รู้จักดีพอ เช่นการลงรูปภาพของครอบครัวหรือลูก อาจนำมาเรื่องปัญหาการปลอมตัว หรือการหลอกลวงอื่นๆที่คาดไม่ถึงได้

5.เด็กๆที่ใช้เวลาในการเล่น Facebook มากเกินไป จะทำให้เสียการเรียน

6.ในการสร้างความผูกพันและการปรับตัวทางสังคมเป็นการพบปะกันในโลกของความจริง มากกว่าในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นผู้อยู่ในโลกของไซเบอร์มากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาทางจิต หรือขาดการปรับตัวทางสังคมที่ดี โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น FaceBook ตั้งแต่ยังเด็ก

7.FaceBook อาจเป็นแรงขับให้มีการพบปะทางสังคมในโลกแห่งความเป็นจริงที่น้อยลงได้ เนื่องจากทราบความเคลื่อนไหวของผู้ที่อยู่ในเครือข่ายอย่างตลอดเวลา

8.นโยบายของบางโรงเรียน บางมหาวิทยาลัย บางครอบครัวหรือในบางประเทศมีปัญหามากมายที่เกิดจากFaceBook ทำให้ FaceBook ไม่ได้รับการอนุญาตให้มีในหลายพื้นที่

จึงกล่าวได้ว่าผู้ปกครองควรเอาใจใส่ลูกหลานของท่านที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นซึ่งนิยมท่องโลกอินเตอร์เน็ต ให้มีความระมัดระวังและมีวิจารณญาณในการเล่นFacebookมากยิ่งขึ้น เพราะ FaceBookนั้นเป็นทั้งสื่อที่มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ในเวลาเดียวกัน

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ประสบการณ์ของคนที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

เริ่มกันเลยนะคะ

ช่วงประมาณ 5 เดือนหญิงเคยตรวจเจอน้ำตาล +2 จากการเก็บปัสสาวะไปตรวจครั้งแรก ตอนนั้นคุณหมอก็ถามว่าที่บ้านมีใครเป็นประวัติเบาหวานมั้ยหญิงก็ด้วยความที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของทางบ้านเลยเพราะหญิงอยู่กับแม่บุญธรรมมาตั้งแต่เล็ก ๆ เลยตอบไปว่าไม่มีแทน(นี่เป็นสิ่งที่ผิดนะคะอย่าเอาเยี่ยงอย่างหุหุควรที่จะตอบว่าไม่แน่ใจจะดีกว่าค่ะ)

พอตอบว่าไม่มีปุ๊บคุณหมอเลยถามแทนว่าเมื่อเช้านี้ทานอะไรมาคะ หญิงก็ตอบว่านมหนึ่งแก้วกับกล้วยหอม1ลูกค่ะ คุณหมอก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นจากอาหารมื้อเช้าก็ได้ก็ไม่ได้เอะใจอะไรกันนะคะ และเวลาก็ผ่านมาเรื่อย ๆ ก็ไม่เจอน้ำตาล + ในปัสสาวะเลยจนกระทั่งเข้าเดือนที่ 8 เจอน้ำตาล +2 ในปัสสาวะอีกครั้ง งานนี้คุณหมอไม่รอช้ารีบจับหญิงเจาะเลือดตรวจหาเบาหวานเบื้องต้นโดยการให้กินน้ำตาล 50 กรัมแล้วรอหนึ่งช.ม.มาเจาะเลือดตรวจค่ะ

ผลก็ปรากฎว่าน้ำตาลเกินเกณฑ์ที่กำหนดสรุปได้คร่าว ๆ ในตอนนั้นก่อนว่าหญิงอาจจะเป็นเบาหวาน(ตรงนี้ยังไงพี่หน่าหาค่าตัวเลขการตรวจน้ำตาลในเลือดมาลงอีกทีนะคะพอดีหญิงจำไม่ได้ถ้านึกขึ้นมาได้เดี๋ยวจะมา edit ให้ภายหลังค่ะ) คราวนี้คุณหมอเลยนัดหญิงอีกหนึ่งอาทิตย์ให้มาทำการตรวจน้ำตาลในเลือดครั้งใหญ่ คือให้งดน้ำงดอาหารหลังเที่ยง(ให้งดให้ครบ 8 ช.ม.อ่ะค่ะ)แล้วเช้ามาก็มาเจาะเลือดตรวจก่อน 1 ครั้ง จากนั้นทานน้ำตาล 100 กรัมแล้วเจาะเลือดตรวจอีก 3 ครั้งทุก 1 ช.ม.เพื่อดูค่าเฉลี่ยว่าน้ำตาลสามารถขับออกจากกระแสเลือดตามปกติได้หรือไม่ แต่ผลปรากฎว่าในที่สุดหญิงก็เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

พอทราบว่าตัวเองเป็นเท่านั้นแหละค่ะเศร้าสนิทไม่เป็นอันกินอีกต่อไปค่ะ คุณหมอที่ฝากครรภ์ส่งหญิงต่อให้คุณหมอที่แผนกเบาหวานเพื่อดูว่าหญิงจะสามารถคุมน้ำตาลเองที่บ้านได้หรือไม่เพราะถ้าไม่ได้ต้องแอดมินนอนที่รพ.ฉีดอินซูลีนจนกว่าจะคลอด ด้วยความที่กลัวลูกจะเป็นอะไรไปและก็สงสารแฟนเพราะหญิงดันฝากครรภ์รพ.เอกชนถ้าโดนแอดมินตั้งแต่แปดเดือนอะไรจะเกิดขึ้นทุกท่านคงทราบดีนะคะ แต่สุดท้ายหญิงก็สามารถคุมน้ำตาลได้ค่ะ ค่าที่มาตรวจน้ำตาลในเลือดกับคุณหมอหลังจากทานอาหารมาแล้ว 2 ช.ม.ก็จะอยู่ในเกณฑ์ที่โอเคค่ะคือประมาณ 90 ซึ่งค่าปกติในคนท้องจะต้องไม่เกิน 125 กรัม ในคนปกติต้องไม่เกิน 145 กรัม

การคุมน้ำตาลของหญิงก็คือในแต่ล่ะมื้อหญิงจะทานข้าว 2-3 ช้อนโต๊ะกับหมูทอดสองชิ้น บางทีก็กับไข่ต้ม ปลากระป๋องก็ว่ากันไปค่ะ แต่ถ้าทานข้าวมื้อหนักแล้วจะยังไม่ทานอะไรจะรอให้ครบ 1-2 ช.ม.(เหมือนรอให้น้ำตาลของเก่ามันสลายไปก่อนค่ะค่อยกินของใหม่เข้าไปแทน) พอกินพวกข้าวครบ 2 ช.ม.ถึงจะกินเป็นนมหรือพวกถั่ว เมล็ดทานตะวันแทนค่ะช่วงนั้นออกแนวหลอนกินอะไรก็มานั่งดูเวลาเป็นว่าเล่นเลยล่ะ นมที่กินได้ก็จะวีซอยตัวไม่มีน้ำตาลขอบอกว่าไม่อร่อยเอาซะเลยค่ะแต่จำใจกิน นมไทยเดนมาร์กรสจืดก็ทานได้ค่ะ 1 กล่อง ทุกครั้งที่ทานนมหรืออาหารพวกถั่วแล้วเกิดหิวขึ้นมาอีกก็จะข่มใจอดทนรอให้ครบ 2-3 ช.ม.ค่อยทานใหม่ค่ะเป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ ค่ะ แอบเปิ้ลทานแอบเปิ้ลเขียวได้นะคะแต่ไม่ได้ทานหมดลูกค่ะทานแค่ครึ่งลูก นอกนั้นผลไม้อย่างอื่นไม่กล้าแตะเลยค่ะ

ลักษณะของคนที่เป็นเบาหวานตอนตั้งครรภ์จากประสบการณ์ตัวเองนะคะ
1.หิวบ่อยมาก มากกว่าคนท้องปกติค่ะ หญิงนี่พอทานอาหารเสร็จเอาแบบอิ่มเต็มพิกัดเลยนะคะประมาณ 1 ช.ม.ได้หิวอีกแล้วค่ะไม่ใช่หิวธรรมดาด้วยนะคะแต่หิวมากๆ
2.ฉี่บ่อย บ่อยจริงๆ ค่ะบ่อยมาก ๆ
3.น้ำคร่ำเยอะ พูดถึงเรื่องน้ำคร่ำตอนประมาณ 7 เดือนกว่าเคยไปตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติอ่ะค่ะหมอที่รพ.ที่ไปตรวจก็บอกว่าน้ำคร่ำเราเยอะแต่ตอนนั้นหญิงยังไม่
ทราบว่าตัวเองเป็นเบาหวาน ประจวบกับหมอที่รพ.นี้เค้าก็ไม่รู้ประวัติเราเค้าเลยนึกว่าเราบำรุงดี

ส่วนสาเหตุที่หญิงคิดว่าทำไมหญิงถึงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีตามนี้นะคะ
1.ช่วงที่ไม่รู้ตัวว่าท้องอ่ะค่ะ ไปเที่ยวผลับกับเพื่อนบ่อยค่ะก็มีดื่มพวกเหล้าบ้างค่ะเคยไปอ่านเจอว่าการดื่มพวกเหล้า เบียร์ขณะตั้งครรภ์จะไปกระตุ้นให้เป็นเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ได้ค่ะ แล้วช่วงนั้นไม่รู้ว่าตัวเองท้องมาสองเดือนไปเที่ยวเดือนล่ะครั้งก็เลยคิดว่าอาจจะมาจากตรงจุดนี้

2.อาจจะมีประวัติคนในครอบครัวหญิงเป็นเบาหวานก็ได้ค่ะ

3.ทานของหวาน ๆ มากเกินไป หญิงเล่นทานนมเปรี้ยววันล่ะ 2 กล่องซึ่งมีน้ำตาลสูงอยู่แล้วค่ะนมเปรี้ยว เข้าร้านไอศครีมสเวนเซ่นส์เป็นว่าเล่น ทานเค้กเอสแอนด์พี อ่อนมถั่วเหลืองของแอนมัมอีกวันล่ะ 2 กล่อง(นมถั่วเหลืองแอนมัมน้ำตาลสูงเหมือนกันนะคะ) นมวัวธรรมดาอีกวันล่ะ 2 แก้ว แค่จำพวกนมนี่ตีไปตกวันล่ะ 6-7 กล่องค่ะ ของหวาน ๆ มันไปกระตุ้นให้เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ค่ะ

หลังจากคลอดแล้วได้เดือนกว่าหญิงไปตรวจน้ำตาลในเลือดอีกทีแต่ก็ยังไม่ลงเลยค่ะยังสูงอยู่แต่หมอยังไม่สรุปว่าหญิงจะเป็นถาวรขอนัดตรวจอีกที ก็พอดีว่ามีลูกแล้ววุ่น ๆ อ่ะค่ะก็เลยยังไม่ได้ไปตรวจซ้ำอีกรอบแต่ก็ทำใจแล้วค่ะว่าตัวเองคงจะเป็นถาวร และก็ด้วยการเป็นเบาหวานของหญิงทำให้หมดสิทธิคลอดเองค่ะและก็โชคดีที่หญิงไม่ได้เป็นมากคุมน้ำตาลได้โมนา(ลูกของหญิง)จึงไม่เป็นอะไรแต่กะว่าถ้าเค้าโตกว่านี้หญิงจะพาไปเจาะเลือดหาเบาหวานเหมือนกันค่ะ งานนี้เลยเข็ดแล้วค่ะขอมีลูกแค่คนเดียวเป็นหัวแก้วหัวแหวนค่ะเคยคิดจะมีสองคนไว้เป็นพี่น้องเพื่อนกันยามพ่อแม่ไม่อยู่กับเค้าจะได้มีกันและกันแต่พอมาเจอสภาพตัวเองเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ต้องคุมอาหารซะขนาดนั้นมันเป็นอะไรที่ทรมานมากค่ะ บวกกับความวิตกกังวลต่าง ๆ นา ๆ เล่นเอาไม่สบายใจเลยค่ะ

ที่มา
http://preclinic.com/webboard/index.php?topic=194.0

อาการของคนที่กำลังตั้งครรภ์

กระทู้นี้หญิงจะเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของหญิงเองนะคะเมื่อเริ่มตั้งครรภ์ สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคืออาการท้องผูกค่ะเพราะฮอร์โมนเปลี่ยน อย่างช่วงที่หญิงยังไม่ทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัวนั้น ตัวเองจะเป็นคนท้องผูกอยู่แล้วค่ะก็จะทานยาระบายมะขามแขกเป็นประจำแต่เวลาทานทีไรเช้ามาอีกวันก็จะถ่ายออกแบบหมดไส้หมดพุง แต่ปรากฎว่าช่วงเริ่มแรกที่ตั้งครรภ์ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์ก็เลยทานยาระบายไปตามปกติแล้วพอเช้ามาอีกวันก็ปรากฎว่าไม่ยอมถ่ายกลายไม่ถ่ายอยู่เกือบร่วมอาทิตย์แหนะค่ะพอถ่ายแล้วก็แบบว่าถ่ายแบบท้องผูกอึแข็งเราก็งง ๆ ว่าเอมันเกิดอะไรขึ้น

ในช่วงที่ตั้งครรภ์อ่อน ๆ หญิงจะรู้สึกว่าตัวเองคั่นเนื้อคั่นตัวเหมือนไม่สบายตัวอยู่ตลอดคือจะเวียนหัวหน้ามืดบ้างมันรู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูกอ่ะค่ะแล้วอารมณ์ก็แปรปรวนมากแบบขี้หงุดหงิดไปเลยช่วงนั้น แต่ก็ดันคิดว่าตัวเองคงไม่สบายล่ะมั้ง โชคดีหน่อยนะคะที่หญิงไม่แพ้ท้องโอ๊กอ๊ากในขณะตั้งครรภ์ หญิงเคยอ่านเว็บบอร์ดที่อื่น ๆ เจอคุณแม่หลายท่านชอบคิดวิตกกังวลว่าฉันไม่แพ้ท้องแล้วลูกจะมีสุขภาพดีหรือเพราะมีความเชื่อว่าเมื่อตั้งครรภ์ต้องแพ้ท้องซึ่งไม่เป็นความจริงหรือไม่เกี่ยวกันนะคะ การที่ตั้งครรภ์แล้วไม่แพ้ท้องนั่นแหละค่ะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพราะเราจะได้ทานอาหารบำรุงลูกในครรภ์ได้อย่างเต็มที่

อาการต่อไปอาการท้องอืดท้องเฟ้อช่วงอายุครรภ์อ่อน ๆ ทานอาหารไปปริมาณมากเกินไปก็จะทำให้ท้องอืดแน่นจนแทบอยู่ไม่เป็นสุขเลยล่ะค่ะเป็นอะไรที่ทรมานมาก ดังนั้นคุณหมอและตามหนังสือคู่มือการตั้งครรภ์จึงแนะนำหรือเขียนแนะนำอยู่เสมอว่าควรทานครั้งล่ะน้อยพออิ่มแต่ทานบ่อยขึ้นโดยเพิ่มมื้อของการทานให้เยอะขึ้น ช่วงท้อง 1-3 เดือนถ้าคุณแม่มีอาการท้องอืดมากจากการทานเนื้อสัตว์แล้วไม่ย่อยแนะนำว่าให้ทานพวกผัก พวกถั่ว เต้าหู้ เนื้อปลาไปก่อนได้นะคะ(อันนี้คือคุณหมอที่หญิงฝากครรภ์แนะนำมาค่ะ) ช่วงเราท้องอ่อน ๆ ลูกจะได้รับอาหารจากถุงไข่แดงยังไม่ได้รับโดยตรงจากทางรกค่ะ ช่วงเข้าเดือนที่ 4 นี่แหละค่ะถึงจะต้องบำรุงทานเนื้อสัตว์และโปรตีนเยอะ ๆ เพื่อที่จะได้นำไปสร้างเนื้อสร้างตัวให้เจ้าตัวน้อยของเรา และน้ำหนักที่จะขึ้นแล้วเป็นของลูกที่ได้จริง ๆ ก็อยู่ในช่วงเดือนที่ 4 ขึ้นไปนี่แหละค่ะ

อาการเจ็บคัดตึงที่เต้านมและลานนมรอบ ๆ หัวนมจะเริ่มขยายออกค่ะ
มีตกขาวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ถ้ามีมาก ๆ แล้วคันและมีสีเหลืองหรือสีเขียวมีกลิ่นแรงต้องรีบแจ้งให้แพทย์ที่ฝากครรภ์ทราบนะคะเพื่อที่จะได้ทำการรักษา เพราะการ
ปล่อยให้ตกขาวมีสีเหลือง สีเขียว มีกลิ่นเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ช่องคลอดของเราถ้ามีมาก ๆ ก็สามารถทำให้ถุงน้ำคร่ำแตกได้เหมือนกันค่ะ

ช่วง 3 เดือนแรกจะยังดูไม่ออกนะคะว่าท้องรูปร่างของเราจะเหมือนผู้หญิงลงพุงหน่อย ๆ เท่านั้นค่ะ แต่พอเริ่มเข้าเดือนที่ 4 จะเริ่มสังเกตเห็นได้แล้วค่ะว่าท้องนูนออกมาเยอะกว่าเดิมงานนี้จะปิดใครก็จะปิดไม่อยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ถ้าเป็นคนที่ผอมมาก ๆ บางทีท้องก็ยังไม่ค่อยออกเท่าไหร่หรอกนะคะ ส่วนท้องของแต่ล่ะคนเวลาตั้งครรภ์จะใหญ่หรือจะเล็กนั้นขึ้นอยู่กับส่วนสูง ความยาว โครงสร้างร่างกายของแต่ล่ะคนด้วยนะคะ อย่างเช่นถ้าเป็นคนตัวเตี้ยท้องก็จะใหญ่อย่างเห็นได้ชัดในขณะที่อายุครรภ์เท่ากันคนสูงและลำตัวยาวท้องอาจจะแลดูเล็กกว่า โดยเฉพาะในครรภ์แรกมดลูกยังไม่เคยขยายตัวก็จะทำให้ท้องยิ่งแลดูเล็กในคนสูงและลำตัวยาวนะคะ

หน้าตาบางคนพอเริ่มตั้งครรภ์ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเยอะก็จะทำให้เกิดสิว ฝ้า กระ ตามมาเยอะแยะค่ะ แต่หญิงโชคดีหน่อยตั้งแต่ตั้งครรภ์มาสิวที่เคยเป็นสิวอักเสบแถวหน้าผากก่อนตั้งครรภ์หายเกลี้ยงเลยค่ะ อ่อคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ถ้าไม่จำเป็นก็หลีกเลี่ยงการทาครีมที่หน้าก็ดีนะคะโดยเฉพาะครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินเอเพราะวิตามินเอจากครีมจะซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรงทำให้เด็กสามารถผิดปกติทางร่างกายได้ค่ะ แต่ถ้าหน้าแห้งมากอยากทาบ้างเพื่อความชุ่มชื้นก็หาครีมของเด็กมาทาก็ได้ค่ะอย่างของจอร์นสันที่เป็นกระปุกสีขาวฝาสีชมพูก็ใช้ได้ค่ะให้ความชุ่มชื้นและปลอดภัย

จะมีเส้นสีดำเหนือสะดือและใต้สะดือ(ตรงกลาง)ขยายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่หลังจากคลอดแล้วมดลูกกลับเข้าอู่ก็จะหายไปค่ะ ตรงนี้หญิงล่ะอิจฉาคุณแม่หลายท่านที่ท้องแล้วท้องสวยค่ะแต่ของตัวเองดูไม่ได้เลยเพราะเส้นสีดำบนสะดือกะใต้สะดือมันขยายใหญ่แบบอลังการมากแถมยังมีรอบ ๆ สะดืออีกด้วยค่ะดูไม่ได้เลย แล้วก็ท้องแตกลายอันนี้โชคดีหน่อยค่ะตอนนี้หญิงตั้งครรภ์ได้ประมาณอีกอาทิตย์กว่าจะ 7 เดือนแต่ว่ายังไม่มีอาการแตกลายเลยค่ะ แล้วก็ไม่ค่อยได้ทาครีมด้วยค่ะเพราะขี้เกียจที่ไม่ค่อยได้ทาเพราะปลงค่ะคือไปอ่านเว็บบอร์ดที่อื่นเจอคุณแม่หลายท่านบอกว่า ทาครีมหน้ามากทาทีสามสี่ชั้นแต่สุดท้ายก็ท้องแตกลาย แต่บางคนไม่ทาเลยจนกระทั่งคลอดก็ไม่เคยมีท้องแตกลายเลยทำให้หญิงคิดว่าครีมไม่ได้ช่วยเรื่องท้องแตกลายสักเท่าไหร่ค่ะ แค่ให้ความชุ่มชื่นได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น

มีอีกอย่างที่หญิงลืมบอกค่ะถ้าช่วงตั้งครรภ์อ่อน ๆ แล้วเรารู้สึกปวดหน่วง ๆ แบบเป็นปจด.แบบปวดไม่มากแป๊บ ๆ ก็หายไม่ต้องตกใจนะคะเพราะนั่นคือการขยายตัวของมดลูกเราค่ะ แต่ถ้าอาการปวดหน่วงปวดมากและนานต้องรีบไปพบแพทย์ด่วนนะคะเพราะอาจจะแท้งได้

สปส.แนะผู้ประกันตนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตร

สปส.แนะผู้ประกันตนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรพร้อมยื่นรับสิทธิกรณีสงเคราะห์บุตรด้วย

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) แนะผู้ประกันตนยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรแล้ว อย่าลืมยื่นรับสิทธิสงเคราะห์บุตรด้วย พร้อมแนะวิธีปฏิบัติและรับประโยชน์ทดแทนได้สะดวก ถูกต้อง รวดเร็วยิ่งขึ้น

สำนักงานประกันสังคม แนะผู้ประกันตนสามารถขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรผู้มีสิทธิจะต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันคลอด ซึ่งสำนักงานประกันสังคม ได้เหมาจ่ายให้แก่ผู้ประกันตนในอัตรา 12,000 บาท ต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง โดยอัตราดังกล่าวครอบคลุมถึง ค่าตรวจและค่ารับฝากครรภ์ ค่าบำบัดทางการแพทย์ ค่ายา และค่าเวชภัณฑ์ ค่าทำคลอด ค่ากินอยู่ และค่ารักษาพยาบาล ในสถานพยาบาล ค่าบริบาล และรักษาพยาบาลทารกแรกเกิด ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ป่วยและค่าบริการอื่นๆ ทั้งนี้ กรณีสามี และภรรยา เป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ ให้ใช้สิทธิของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยผู้ประกันตนจะสามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้คนละ 2 ครั้ง รวมกันแล้ว ไม่เกิน 4 ครั้ง ซึ่งขอแนะนำให้ใช้สิทธิของฝ่ายหญิงก่อน เพราะนอกจาก จะได้รับเงินค่าคลอดบุตร เหมายจ่าย 12,000 บาท แล้วยังได้รับเงินสงเคราะห์ การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรอีก 50% ของค่าจ้าง เฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน แต่ถ้าเป็นผู้ประกันตนชายเป็นผู้ใช้สิทธิจะได้รับเฉพาะเงินค่าคลอดบุตร 12,000 บาทเท่านั้น สำนักงานประกันสังคมจึงแนะนำให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้ใช้สิทธิให้ครบ 2 ครั้งไปก่อน เมื่อครบสิทธิแล้วหากมีการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไปจึงให้ใช้สิทธิเบิกของฝ่ายชายต่อไป

อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ประกันตนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรแล้วขอแนะนำให้ผู้ประกันตนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร โดยจะต้องมีการนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน และหากใช้สิทธิของผู้ประกันตนหญิงจะต้องยื่นแบบ สปส.2-01 พร้อมแนบหลักฐานประกอบได้แก่ สำเนาสูติบัตรของบุตร สำเนาบัตรประชาชน สำเนาบัตรประกันสังคม และ สำเนาสมุดบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ประกันตน หากใช้สิทธิผู้ประกันตนชาย จะต้องเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น โดยจะต้องแนบหลักฐานข้างต้นเหมือนกับการใช้สิทธิของผู้ประกันตนหญิง และต้องมีหลักฐานเพิ่มเติมคือ สำเนาทะเบียนสมรส หรือหนังสือรับรองบุตร (กรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรส) ทั้งนี้ผู้ประกันตนสามารถ ยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีดังกล่าวได้ คราวละไม่เกิน 2 คน มีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา ที่ท่านสะดวก หรือโทร.1506 (เจ้าหน้าที่ให้บริการทุกวัน เวลา 07.00-19.00 น. ระบบโทรศัพท์ตอบรับอัตโนมัติให้บริการ 24 ชั่วโมง) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sso.go.th
--------------------------------------------------

ที่มา
ศูนย์สารนิเทศ สอบถามประกันสังคม 1506 www.sso.go.th

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

สุดยอดหนังสือสำหรับเด็ก ปี 2010

เผยโฉม 20 สุดยอดหนังสือเด็ก รางวัลรักลูกอวอร์ด 2010

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กันยายน 2553 16:50 น.

ในที่สุดรางวัล "รักลูกอวอร์ด" ก็ได้ประกาศผลอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยปีนี้มีผลงานหนังสือคุณภาพที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 20 เล่ม ที่พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกอ่าน ตามวัตถุประสงค์ของรักลูกอวอร์ด ที่ต้องการคัดสรรหนังสือคุณภาพดีสำหรับเด็กทุกช่วงวัย รวมทั้งผลักดันให้ครอบครัวไทยได้มีหนังสือคุณภาพไว้อ่านร่วมกันในครอบครัว โดยรางวัลในครั้งนี้ แบ่งแยกประเภทของหนังสือตามแต่ละช่วงวัยดังนี้

*** ประเภทหนังสือสำหรับเด็กวัย 0-3 ปี




รางวัลชมเชย ได้แก่ เรื่อง "มีอะไรให้ฉันกินบ้าง" ของสำนักพิมพ์สานอักษร โรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นหนังสือที่มีเนื้อหา และการใช้ภาษาเหมาะสำหรับเด็ก เรียบง่าย ตรงไปตรงมา เรื่องราวไม่ซับซ้อน สอนเด็กได้อย่างครบถ้วน การออกแบบรูปเล่มและภาพประกอบมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะสีสันต่างๆ ทำให้เด็กตื่นเต้น

*** ประเภทหนังสือสำหรับเด็กวัย 3-6 ปี




รางวัลดีเด่น มี 2 เรื่อง ได้แก่ อีเล้งเค้งโค้งจับแมลง เป็นหนังสือที่มีความเป็นเอกภาพ ใช้ภาษาดี สละสลวย มีพัฒนาการทางภาษา อ่านสนุก ต่อยอดให้เด็กนำไปค้นคว้าและทำกิจกรรมต่อได้ และ เมืองปลายักษ์ สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก เป็นหนังสือที่ช่วยสร้างจินตนาการให้กับเด็ก มีวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและชวนติดตาม หักมุม การจัดวางตัวหนังสือดี สอดรับกับภาพประกอบ ใช้ภาษาที่เรียบง่าย สละสลวย ลงตัว

รางวัลชมเชย มี 3 เรื่อง ได้แก่ น้องนับนิ้ว ของสำนักพิมพ์ส้มสีฟ้า เป็นหนังสือที่มีความคิดสร้างสรรค์ดี มีชีวิต และยังช่วยกระตุ้นเรื่องการคิดเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Thinking) ของเด็ก ทำให้เด็กสามารถนำไปต่อยอดกิจกรรมการเล่นต่างๆ ได้ นอกจากนี้ยังดีไซน์ภาพได้สวย สะอาดตา




วัวดำกับวัวขาว ของสำนักพิมพ์ นานมีบุ๊คส์ เป็นเรื่องราวแบบหนึ่งที่น่าสนใจ อธิบายเรื่องให้เข้าใจง่ายด้วยภาพ ศิลปะการจัดวางภาพดี เข้าใจง่าย มีการเล่นคำสั้นๆ ที่ทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่าย

และ มามะ มาเล่นกันนะ ของสำนักพิมพ์พาส เอ็ดดูเคชั่น เป็นหนังสือที่สอนเรื่องการเล่น โดยให้ข้อมูลที่เป็นความรู้แก่เด็ก ให้คำศัพท์ใหม่ๆ ที่สอน ให้เด็กได้รู้จักคำที่เด็กเล่นอยู่ได้มากขึ้น รู้จักเลือกคำมาใช้กับการเล่นได้อย่างเหมาะสม อ่านออกเสียงแล้วสนุก ภาพน่ารัก มีชีวิตชีวา สมจริง เป็นธรรมชาติ ใช้สีที่อ่อนโยน เป็นมิตรกับเด็ก เหมาะสมกับเด็กอนุบาล

*** ประเภทหนังสือสำหรับเด็กวัย 7-9 ปี




รางวัลชมเชย มี 2 เรื่อง ได้แก่ มีช้างอยู่ในขอนไม้ ของสำนักพิมพ์พาส เอ็ดดูเคชั่น เป็นเรื่องที่มีมีเรื่องราวและจินตนาการชวนให้เด็กติดตามตลอดทั้งเรื่องมีปมตอนจบที่ทิ้งให้เด็กได้ คิดต่อ เป็นการช่วยต่อยอดความคิดของเด็ก อีกทั้งยังมีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจ ภาพสวย

และ ดอกไม้ริมทาง ของสำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีเนื้อหาดี มีความต่อเนื่องของเรื่องราว ทำให้เด็กรู้จักสังเกตสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ เพราะเชื่อมโยงถึงแหล่งเรียนรู้ต่างๆ รอบตัวเด็ก

*** ประเภทหนังสือสำหรับเด็กวัย 10-12 ปี

ประเภท Story Book




รางวัลดีเด่น ได้แก่ ม็อกซ์ แมวมหัศจรรย์ สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ หนังสือที่มีรูปแบบ และเนื้อหาร้อยเรียงได้ดี แปลกใหม่ มีศิลปะในการนำเสนอ ดำเนินเรื่องสนุกเข้าใจง่าย ชวนติดตาม สำนวนภาษาละเมียดละไม เป็นต้นแบบทางภาษาที่ดีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีการอธิบายศัพท์และความรู้เพิ่มเติม แฝงแง่คิดอย่างแนบเนียนไม่ยัดเยียด ภาพประกอบสวยงาม น่าสนใจ สามารถสร้างพัฒนาการทางความคิด ฝึกฝนและสร้างทักษะการอ่านที่ดีให้กับเด็กได้

รางวัลชมเชย มี 2 เรื่อง ได้แก่ ขบวนการเด็ก ชุด มิตรภาพในธรรมชาติ และชุดสอนลูก ให้ดีด้วยชาดก ตอน สอนลูกให้ฉลาดคิด สำนักพิมพ์ครอบครัว โดยชุดแรกเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ภาพ ภาษา กริยา และการดำเนินเนื้อหามีนัยในการส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นหนังสือที่สามารถอธิบายนามธรรมให้เป็นรูปธรรมผ่านตัวละครได้อย่างชัดเจน รูปภาพสวยงาม และโชว์ความสวยงามของภาษา ในขณะที่ชุดสอง เป็นหนังสือที่เนื้อเรื่องดี รูปแบบการเล่าเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ และยังช่วยส่งให้เด็กนำไปคิดต่อได้ มีการหยิบยกตัวอย่างที่เข้าใจง่าย เห็นภาพ

ประเภท Comic Book




รางวัลชมเชย มี 2 เรื่องเช่นกัน ได้แก่ ดินแดนแสนประหลาด ตอน นครเลียนแบบ ของสำนักพิมพ์พาส เอ็ดดูเคชั่น เป็นการนำเสนอที่สะท้อนภาพทั้งนามธรรมและรูปธรรมของการเลียนแบบได้ชัดเจนมาก เนื้อหาสอนหลายอย่าง มีการสร้างปัญญาให้แก่ผู้อ่านด้วยการตั้งคำถาม บุคลิกของตัวละครแต่ละตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะ บุคลิกของตัวเอก เหมาะที่จะเป็นต้นแบบให้กับผู้อ่าน มีภาพประกอบที่สวยงาม ลายเส้นชัดเจน

และ พ่อขุนรามคำแหง 1 และ 2 ของสำนักพิมพ์อมรินทร์คอมมิกส์ เป็นเรื่องถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้ครบถ้วน นำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้และเห็นภาพประวัติศาสตร์ไทยได้ชัดเจนและง่ายขึ้น ภาพประกอบ สวย สมจริง

*** ประเภทหนังสือสำหรับเด็กวัย 13 ปีขึ้นไปถึงวัยรุ่น

ประเภทสารคดี




รางวัลดีเด่น ได้แก่เรื่อง สอ เสถบุตร ดิกชันนารีแห่งชีวิต ของสำนักพิมพ์สารคดี เป็นหนังสือที่มีศิลปะในการเล่าเรื่องที่งดงาม รับกับแก่นสำคัญของสอ เสถบุตร ที่เป็นผู้สร้างพจนานุกรม วิธีการเล่าเรื่องดี น่าสนใจ สอนให้เด็กมีกระบวนการคิดที่เป็นระบบ สอดแทรกแง่มุมสั้นๆ ของประวัติศาสตร์ไทยบางช่วงที่คนไทยควรรู้ เชื่อมร้อยเนื้อเรื่องได้ดี มีการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์อย่างน่าชมเชย และกระตุ้นให้เด็กสนใจที่จะ ค้นหาต่อไป

รางวัลชมเชย มี 2 เรื่อง ได้แก่ ต้นธารวิถีมอญ ของสำนักพิมพ์แพรวสำนักพิมพ์ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้น่าติดตาม เนื้อหาสะท้อนการเรียนรู้ชีวิตได้อย่างมีชีวิตชีวา งานเขียนบอกเล่าถึงตำนานต่างๆ ที่เล่าขานมาถึงรุ่นลูก ซึ่งสามารถสะท้อนวิถีชีวิตในเรื่องนั้นๆ ได้อย่างงดงาม ภาษามีความเรียบง่ายและให้ข้อมูลละเอียด

และ ก้าวที่พลาด ของสำนักพิมพ์สารคดี ตัวเรื่องมีคุณค่าและเป็นประโยชน์สำหรับเด็ก ทำให้เด็กสามารถยึดเป็นคติเตือนใจ ของตัวเองได้ สอนให้เข้าใจถึงผลของความผิดพลาดที่จะได้รับอย่างเข้าใจง่าย รูปแบบ การนำเสนอดึงดูดตรงที่เป็นเรื่องของเด็กที่เล่าให้เด็กฟัง

ประเภทบันเทิงคดี




รางวัลชมเชย มี 2 เรื่อง ได้แก่ จากวันจันทร์ของชีวิต...วันศุกร์ต้องมาถึง ของสำนักพิมพ์มิ่งมิตร โดยเรื่องราวในหนังสือ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คนที่พลั้งพลาด อ่านแล้วเด็กจะได้บทเรียน ได้เรียนรู้ และมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขตัวเองต่อได้ เนื้อเรื่องช่วยสอนให้เด็ก รู้จักคิดถึงวันพรุ่งนี้ มีการเล่าเรื่องผ่านสัญลักษณ์เพื่อหลีกเลี่ยงมุมที่โหดร้าย โดยพยายามพลิกหามุมที่งดงามที่สุดสำหรับเด็ก

และ ขบวนการหนังสติ๊ก ตอน ผจญภัยในเมือง ของสำนักพิมพ์พาส เอ็ดดูเคชั่น เป็นหนังสือที่มีคุณธรรมสอดแทรกให้เด็กได้เรียนรู้ในหลายๆ เรื่อง มีความเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความ เร้าใจในทุกๆ ตอน ใช้ภาษาง่ายๆ แต่มีชีวิตชีวา ชวนให้ติดตามตลอดทั้งเรื่อง เป็นความงามที่เด็กควรจะได้รับ

ประเภทความเรียงเชิงทัศนะ




รางวัลชมเชย ได้แก่ ครัวสีแดง ของสำนักพิมพ์แพรวสำนักพิมพ์ เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดอออกมาได้สนุก มีเสน่ห์ ละเมียดละไม มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อ่านแล้วไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อเด็ก

สำหรับการประกวดในครั้งนี้ คุณชีวัน วิสาสะ นักเขียนผู้คว้ารางวัลดีเด่น กับเรื่อง "อีเล้งเค้งโค้งจับแมลง" เปิดเผยว่า อีเล้งเค้งโค้งจับแมลง สร้างขึ้นเพื่อต้องการให้เด็กๆ ได้สนุกกับการเรียนรู้ธรรมชาติด้วยการจับแมลง จุดเด่นของเรื่องอยู่ที่การให้ความคิดรวบยอดสำหรับกิจกรรมจับแมลง 5 ขั้นตอน คือ "จับ ดู รู้ วาด ปล่อย" นำไปสู่การเล่นและการเรียนรู้อย่างมีจุดมุ่งหมายและมีกระบวนการแบบบูรณาการเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ สงสัย ลงมือหาคำตอบ ค้นคว้า จนได้ความรู้ และยังเป็นการผสานทั้งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับศิลปะไว้ด้วยกัน ซึ่งเด็กวัย 3 ขวบ จะเป็นวัยที่เริ่มเรียนรู้ ช่างสังเกต ช่างซักถาม หนังสือเล่มนี้จึงช่วยเติมเต็มทั้งจินตนาการ การเรียนรู้ และให้แง่คิดที่เหมาะสมแก่เด็กๆ ได้

ด้าน สุมาลี บำรุงสุข ผู้คว้ารางวัลดีเด่นกับหนังสือเรื่อง "ม็อกซ์ แมวมหัศจรรย์" เผยความรู้สึกว่า ตั้งใจเขียนเรื่องให้เด็กอ่านสนุก ขณะเดียวกันก็สอดแทรกความรู้รอบตัวเข้าไปด้วย โดยพยายามเลือกเนื้อหาที่ทันสมัย เป็นเรื่องใกล้ตัวของเด็ก มีการบรรยายและอธิบายศัพท์ใหม่ๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เนื้อหาแต่ละบทสั้นๆ เด็กเห็นแล้วมีกำลังใจอ่านจนจบ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ฝึกทักษะนิสัยแห่งปัญญา

อยากให้ลูกมี "ทักษะนิสัยแห่งปัญญา" อ่านทางนี้

ความปรารถนาของพ่อแม่ทุกคน อยากเห็นลูกมีนิสัยน่ารัก น่าเอ็นดู เป็นที่รักของผู้อื่น แต่การจะสร้างให้ลูกเป็นดั่งหวังนั้น ถือเป็นงานหนักที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ และเข้าใจแนวทางที่ถูกต้องด้วย

สุดสัปดาห์นี้ ทีมงาน Life and Family มีเทคนิคทักษะแม็กก้าสกิลล์ (Mega Skills) ของดร.โดโรธี ริช ซึ่งเป็นโปรแกรมการฝึกทักษะนิสัยให้เด็ก ที่ทางรศ.ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทร ในฐานะผู้พัฒนาระบบการสอนแบบแม็กก้าสกิลล์ นำมาแปล และบอกกับทีมงานว่า เป็นทักษะนิสัยคู่ชีวิตที่หากพ่อแม่ค่อยๆ ฝึกฝนให้ลูกแล้ว จะช่วยผลักดันให้เด็กมีความสนใจเรียนรู้ อยู่กับตัวเอง และคนอื่นได้ดี ตลอดจนเข้าใจบริบทหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งประกอบด้วย 12 ทักษะที่พ่อแม่ฝึกให้ลูกก่อนวัยเรียนง่ายๆ ได้ดังนี้

ทักษะความมั่นใจในตัวเอง

เป็นทักษะแรกที่ รศ.ดร.สายฤดี ให้แนวทางว่า พ่อแม่ต้องพยายามสร้างลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง และมีความรู้สึกว่า เขาทำได้ เพื่อให้ลูกได้ลิ้มรสความสำเร็จด้วยตัวเอง โดยให้ลูกลองทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตัวเขาเอง เช่น เข้าครัวช่วยแม่ทำอาหาร ไม่ว่าจะตอกไข่ หั่นผัก หรือให้ลูกมีส่วนร่วมในการปรุงอาหาร พร้อมกับให้คำถามปลายเปิดแก่ลูกอยู่ตลอด เช่น "ถ้าเราเติมสิ่งนี้เข้าไป จะทำให้อาหารอร่อยขึ้นไหมจ้ะ"

ทักษะแรงจูงใจ

เด็กๆ เกิดมาพร้อมกับแรงจูงใจที่กระหายใคร่เรียนรู้ และพยายามที่จะเข้าใจโลกรอบๆ ตัวเขา หากพ่อแม่ร่วมแบ่งปันความรู้สึกตื่นเต้นเวลาที่ลูกค้นพบ หรือได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จะยิ่งทำให้ลูกเกิดแรงจูงใจมากขึ้น เช่น อาจจะหาแว่นขยายให้ลูกสัก 1 อัน แล้วพกพากันออกไปส่องดูใบไม้ แมลง นอกบ้าน หรือสวนสาธารณะ เมื่อเด็กเกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่เขามองเห็นผ่านแว่นขยายมีความน่าสนใจต่างจากการมองด้วยตาเปล่า เด็กก็จะ "โอ้โห ทำไมแมลงตัวนี้มันตาโตจังเลย" แต่ทั้งนี้พ่อแม่ต้องระวังความปลอดภัยของลูกน้อยด้วย

ทักษะความพยายามทุ่มเท

เป็นสิ่งจำเป็นที่เด็กจะต้องมีความพร้อมที่จะทำสิ่งต่างๆ อย่างทุ่มเท ตั้งใจ โดยพ่อแม่อาจจะให้ลูกวาดภาพ และเล่นกับลูกด้วยการบอกให้เติมส่วนนี้นิด ส่วนนี้หน่อย เพื่อให้ลูกคิดต่อไปอีกว่า หูของคนควรจะใส่อะไรดี หรือชี้ให้ลูกเห็นความพยายามของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจขายของ และบริการของพ่อค้าแม่ค้า เพื่อให้ลูกเห็นตัวอย่างของความพยายามทุ่มเท

ทักษะความรับผิดชอบ

ความรับผิดชอบ ถือเป็นทักษะหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งเด็กต้องมีติดตัว เพื่อที่จะดูแลตัวเองเป็น แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดี เริ่มจากฝึกให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องระเบียบวินัย และความรับผิดชอบของตัวเองก่อน เช่น เรียนรู้เรื่องผ้า การแยกเสื้อผ้า ระหว่างผ้าสีกับผ้าขาว หรือเตรียมชุดของตัวเองที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้ รวมไปถึงความรับผิดชอบงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

ทักษะความพร้อมในการเริ่มลงมือกระทำ

เด็กก่อนวัยเรียนส่วนใหญ่ มีความคิดริเริ่มอยู่ในตัวอยู่แล้ว ถ้าพ่อแม่ชมเชยความคิดนั้นของลูก ลูกก็จะเรียนรู้ทักษะคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ และลงมือทำให้ความคิดนั้นเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งหากไม่สนใจ เด็กก็จะติดนิสัย "เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวค่อยทำ"

สำหรับวิธีฝึกทักษะนี้ให้เจ้าตัวเล็ก พ่อแม่อาจหานาฬิกา หรือวิทยุเก่าๆ ที่เสียเกินแก้ แล้วถามลูกว่า อยากช่วยถอดเจ้าเครื่องนี้ออกมาดูข้างในกันไหม จากนั้นก็ปูกระดาษหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ เตรียมอุปกรณ์สำหรับรื้อดูเครื่อง เช่น ไขควง หรือไฟฉาย และปล่อยให้ลูกเป็นคนถอดรื้อเอง โดยที่พ่อแม่คอยให้กำลังใจ และแนะนำอยู่ใกล้ๆ

ทักษะความพากเพียร

พ่อแม่หลายคน คงเคยเจอปัญหาที่ลูกทำงานยังไม่เสร็จดี แต่ก็บอกว่าเสร็จแล้ว ซึ่งพ่อแม่ช่วยให้ลูกเรียนรู้หลักการทำงานให้สำเร็จลุล่วงด้วยตัวเขาเองได้ เช่น เมื่อขอให้ลูกช่วยทำงานที่บ้าน ต้องดูให้แน่ใจว่าลูกได้ทำงานนั้นสำเร็จเรียบร้อยหรือไม่ สมมติว่า บอกให้ลูกช่วยเก็บโต๊ะอาหารมื้อเย็น ดูว่าลูกได้เก็บจานชาม แก้วน้ำ ถ้วยน้ำจิ้ม และทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปไว้ในครัวครบถ้วนหรือไม่ ถ้ายังเก็บไม่เรียบร้อย พ่อแม่ควรพูดกับลูกดีๆ ไม่แสดงอารมณ์โกรธ เช่น "ลูกยังเก็บไม่ค่อยเสร็จดีเลยนะจ้ะ ยังมีของที่ลูกลืมเก็บอีกบนโต๊ะ ถ้าลูกเก็บหมดเมื่อไร ก็ไปเล่นได้จ้ะ"

"ถ้าเด็กได้พยายามทำสิ่งที่ตัวเองเริ่มให้เสร็จ จะค่อยๆ ฝึกเด็กให้ชนะในทุกๆ ปัญหา ยิ่งสมัยนี้ อะไรก็ต้องเร็ว ง่าย สะดวก สำเร็จรูปไปหมด ดังนั้นคนที่มีความเพียรจะเป็นที่ต้องการมากกว่าคนอื่น" รศ.ดร.สายฤดีกล่าว

ทักษะความใส่ใจ และเอื้ออาทรต่อผู้อื่น

เป็นทักษะที่ให้เด็กรู้จักแสดงความห่วงใยต่อผู้อื่น เพราะเด็กต้องอยู่ร่วมกับคนในสังคม ถ้าเด็กไม่สนใจ หรือไม่แคร์ใครเลย เด็กก็จะอยู่อย่างเป็นทุกข์ ดังนั้นพ่อแม่ต้องทำให้แต่ละวันจบลงด้วยคำพูดดีๆ ต่อกัน โดยทำให้เป็นกิจกรรมประจำของครอบครัวเลยยิ่งดี ซึ่งคุณอาจพูดกับลูกว่า "แม่ชอบที่ลูกช่วยน้องหารองเท้าที่หายไปจนเจอ" หรือ "แม่เห็นนะว่า เวลาพ่อแม่บอกให้ลูกเข้านอน แค่ครั้งเดียวลูกก็เข้านอนเลยทันที" เมื่อเคยชินกับคำพูดดีๆ ของพ่อแม่ ต่อไปลูกก็อาจจะบอกพี่หรือน้องของเขาเองว่า "พี่ชอบเวลาที่น้องแบ่งคุกกี้ให้พี่"

"ถ้าเด็กรู้สึกว่าแคร์ใคร หรือทำให้ใครยิ้มได้ เช่น ช่วยเพื่อนทำงานจนเสร็จ พาเพื่อนที่กลัวความมืดไปเข้าห้องน้ำ หรือวันเกิดใคร เขาได้ทำสิ่งที่พิเศษไปมอบให้ ดังนั้นทุกคนก็จะให้รอยยิ้มกับเขา ทุกคนจะบอกเขาว่า เขาน่ารัก ดังนั้นเด็กแบบนี้จะไปที่ไหนก็ได้ เพราะเขามีความรู้สึกว่า ทุกที่ที่เขาไป เขาได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคน ทำให้ทุกประตูที่เคยปิด ค่อยๆ เปิดออก"

ทักษะความสามารถในการทำงานเป็นกลุ่ม

ยุคสมัยนี้ การทำงานเป็นทีม เป็นสิ่งจำเป็น และสำคัญมาก เพราะเราไม่ได้ทำงานกับคนไทยเท่านั้น แต่ต้องร่วมงานกับต่างชาติมากขึ้น หากไม่ปลูกฝังทักษะด้านนี้ให้กับลูกตั้งแต่เล็ก เด็กจะทำงานเป็นทีมเวิร์คไม่เป็น นำไปสู่ปัญหาการทำงานคนเดียว เหนื่อยคนเดียว หรือไม่ก็เอาเปรียบ และไม่ช่วยคนอื่นไปเลย ดังนั้นหากมีอะไรให้เด็กทำ ควรให้เด็กได้ช่วย เช่น ทำงานบ้าน คนหนึ่งอาจกวาดบ้าน หรือดูดฝุ่น ในขณะที่อีกคนเช็ดถูตามโต๊ะตามชั้น เมื่อสองคน หรือหลายคนช่วยกันทำ เปรียบได้กับขนม ผลที่ออกมา ย่อมอร่อย และสนุกกว่าแน่นอน

ทักษะการมีสามัญสำนึก

ทักษะนี้ ดร.สายฤดี บอกว่า มีความสำคัญกับเด็กมาก เพราะทำให้เด็กเข้ากับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหา เนื่องจากเด็กรู้จักเกรงใจคนอื่น รู้ว่าสิ่งไหนควรทำ หรือไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย หรือการปฏิบัติตัวต่อสถานที่ต่างๆ ซึ่งพ่อแม่สอนได้ ด้วยการฝึกให้ลูกเป็นเด็กช่างสังเกต เริ่มจากกิจกรรมพัฒนาทักษะการสังเกตให้ลูก นำวัตถุหลายๆ ชิ้นมาวางบนโต๊ะ บอกให้ลูกตั้งใจดูให้ดี จากนั้นให้ลูกปิดตา และคุณก็เอาของบนโต๊ะออกหนึ่ง หรือสองชิ้น บอกลูกว่า "ลืมตาได้แล้วค่ะ บอกแม่หน่อยว่ามีอะไรหายไปบ้าง"

ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

แนวทางของทักษะนี้ เป็นการนำความรู้ที่มีอยู่เดิม มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดยปกติเด็กก่อนวัยเรียนเป็นนักแก้ปัญหาที่เก่ง พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งพ่อแม่สามารถให้กำลังใจ และสนับทักษะในการแก้ปัญหาของลูกได้ เช่น ก่อนที่จะก้าวเข้าไปแก้ปัญหาใดๆ ก็ตาม พ่อแม่อาจถามลูกว่า "ลูกคิดว่าอย่างไร" และถ้าหากแนวทางแก้ปัญหาแรกของลูกไม่สำเร็จ พ่อแม่อาจพูดว่า "เอ้ มีทาง (วิธี) อย่างอื่นอีกมั้ยน้า" เพื่อให้ลูกได้รู้จักคิด และตัดสินใจด้วยตัวเอง

ทักษะการมีจุดมุ่งหมายในการทำงาน

เป็นทักษะที่สำคัญ เพราะถ้าหากเด็กไม่มีพื้นฐานในเรื่องจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายในการทำงาน ไม่มีแนวทางในชีวิต เด็กอาจเสียเวลาไปกับการค้นหาตัวเอง หรือจัดลำดับความคิดได้ไม่ดี ดังนั้นพ่อแม่ต้องเป็นตัวนำเพื่อให้ลูกรู้จักการตั้งเป้าหมายของตัวเอง เช่น ใน 1 วัน บอกลูกทำความดีอะไรก็ได้ให้พ่อแม่ 4 อย่าง เป็นต้น

"สมัยนี้พ่อแม่ไม่ได้ฝึกให้ลูกมีเป้าหมาย เพราะเรามีความรู้สึกว่า ให้เด็กหาเอาเองละกัน บวกกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีทั้งมือถือรุ่นใหม่ อินเทอร์เน็ต สินค้า สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกแทบจะใช้เวลาหมดไปกับสิ่งต่างๆ จนแทบไม่มีเวลาตั้งเป้าหมายให้ตัวเองเลย ถ้ามี ก็มีแต่เป้าหมายในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้พัฒนาตัวเอง"

อย่างไรก็ดี รศ.ดร.สายฤดี ได้เพิ่มอีกหนึ่งทักษะฝากไว้ให้กับพ่อแม่คือ การนับถือ และเคารพในตัวเอง เป็นทักษะที่จำเป็นอย่างมากสำหรับเด็กที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางยุคสมัยที่รายล้อมไปด้วยความเสี่ยงต่างๆ ดังนั้นพ่อแม่ต้องให้ลูกรู้จักยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ด้วยการชี้ให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเองที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร นอกจากนี้ ต้องสอนให้ลูกรู้จักเคารพต้นไม้ หรือเคารพชีวิตสัตว์ ด้วยการไม่รังแกหรือทำร้ายให้สัตว์ต้องเจ็บเพื่อความสนุก หรือความสะใจ

ทั้งหมดนี้ ทีมงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นตัวช่วยให้พ่อแม่ทุกบ้านมีความมั่นใจมากขึ้นในการฝึกลูกให้มีพลัง และแรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีทิศทาง เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะนิสัยแห่งปัญญาในการพัฒนาตัวเอง และอยู่กับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขต่อไป


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

"นมแพะ" สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้จริงหรือ?

"นมแพะ" สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้จริงหรือ?

การเลือกนมให้กับลูกน้อย ถือว่าเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจในการเลือกเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่ทุกคนจะรู้จักแต่นมผงที่มีส่วนผสมมาจากนมวัว หรือแม้แต่นมพร้อมดื่มยูเอสที (UHT) ตามท้องตลาดก็ต้องเลือกชนิดที่มีส่วนผสมของนมวัวหรือพวกธัญพืชต่างๆ ด้วย จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งจะต้องเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่คุ้นเคย แต่การเลือกซื้อต้องมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยว่า นมที่เลือกนั้นมีสารอาหารที่ลูกควรได้รับอย่างครบถ้วนหรือไม่ หรือเมื่อลูกดื่มแล้วจะเกิดอาการแพ้ไหม? ยิ่งตอนนี้มีผลิตภัณฑ์นมให้เลือกซื้อจำนวนมากจึงจำเป็นต้องพิถีพิถัน โดยเฉพาะ "นมแพะ" ที่หลายบ้านยังมีคำถามอยู่ในใจว่าสามารถให้ทารกดื่มได้จริงหรือ

"นพ. ธวัชชัย อรุณเรืองรัศมี" กุมารแพทย์ โรงพยาบาลรามคำแหง จึงไขข้อสงสัยเกี่ยวกับนมแพะให้ฟังว่า มีการนำนมแพะมาบริโภคกันตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ซึ่งเชื่อว่าโปรตีนในนมแพะช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างภูมิต้านทานในร่างกายให้ดีขึ้น โดยพบว่ามีคนป่วยจำนวนมาก ฟื้นจากอาการป่วยได้เร็วจากการดื่มนมแพะ เนื่องจากนมแพะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีขนาดเม็ดไขมันที่เล็ก จึงสามารถย่อยได้ง่าย หลังจากดื่มนมไปเพียงประมาณ 20 นาที ร่างกายก็สามารถย่อยและดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ทันที

ปัจจุบัน นมแพะได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงดูเด็กทารก จากการศึกษาวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างนมแพะผงกับนมแม่ นมแพะถือว่ามีคุณสมบัติใกล้เคียงกับนมแม่มากที่สุด แต่อย่างไรนมแม่ก็มีสารอาหารที่ครบถ้วนและดีที่สุดสำหรับทารกอยู่แล้ว เนื่องจากในนมแม่มีโปรตีนที่ย่อยได้ง่ายทั้งหมดในเวลาที่รวดเร็ว ลูกน้อยจึงสามารถนำไปใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการและเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่

"นมผงที่เตรียมจากนมแพะมีปริมาณแอลฟ่า เอสวัน เคซีน (Alpha-S1 casein) น้อยกว่านมวัวอย่างมีนัยสำคัญ (3% เทียบกับ 26%) ยิ่งไปกว่านั้น จากผลงานวิจัยในเชิงลึกพบว่าน้ำนมของแพะในนิวซีแลนด์มีปริมาณแอลฟ่า เอสวันเคซีนน้อยกว่าน้ำนมของแพะในแถบยุโรปและอเมริกาอีกด้วย โปรตีนชนิดนี้จะเปลี่ยนเป็นก้อนโปรตีนที่ถูกย่อยได้ยากเมื่อสัมผัสกับกรดในกระเพาะอาหาร การที่นมแพะมีปริมาณโปรตีนแอลฟ่า เอสวันเคซีนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับนมวัว แสดงถึงก้อนโปรตีนที่อาจเกิดจากนมแพะมีขนาดเล็กและมีความนุ่มกว่าก้อนโปรตีนที่เกิดขึ้นจากนมวัว ดังนั้นทารกและเด็กเล็กที่ได้รับนมผงที่เตรียมจากนมแพะจึงสามารถย่อยโปรตีนได้ง่ายและรวดเร็วกว่า" นพ. ธวัชชัย อธิบาย

ขณะเดียวกัน กุมารแพทย์ท่านนี้ยังบอกอีกว่า นมแพะประกอบด้วยอนุภาคไขมันที่มีขนาดเล็กกว่าอนุภาคไขมันในนมวัว เอนไซม์สามารถแตกสลายอนุภาคไขมันได้ง่ายกว่า และทำให้ย่อยได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังมีกรดไขมันสายยาวปานกลาง (Medium Chain Triglycerides, MCT) สัดส่วนสูง เนื่องจากน้ำย่อยไลเปสสามารถย่อยสลายอาหารที่ประกอบด้วยกรดไขมันสายยาวปานกลางให้เป็นกรดไขมันอิสระ ดังนั้นทารกและเด็กเล็กที่ดื่มนมแพะจะสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ง่ายและรวดเร็วกว่านมผงดัดแปลงจากนมวัว และนมแพะยังมีปริมาณของโปรตีนแอลฟ่า เอสวันเคซีนที่น้อยมาก ทำให้มีคุณสมบัติช่วยส่งเสริมให้ร่างกายทารกมีประสิทธิภาพการย่อยสารอาหารโปรตีนชนิดอื่นได้มากขึ้นอีกด้วย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเป็นภูมิแพ้ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ นมแพะยังมีนิวคลีโอไทด์ (Natural Nucleotide) 5 ชนิดที่คล้ายกับนมแม่ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและลดการเกิดการแพ้อาหาร มีสารโพลีเอมีนส์ (Polyamines) ช่วยลดปฎิกิริยาของการแพ้อาหารมี โกรทแฟคเตอร์ (Growth factor) ชนิดไอจีเอฟวัน (IGF-1) และทีจีเอฟ เบต้า (TGF- β) ช่วยให้เกิดการพัฒนาของระบบลำไส้และการย่อยสมบูรณ์ พร้อมทั้งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ครบถ้วน การที่นมแพะประกอบด้วยสารนิวคลีโอไทด์จำนวนมาก มันจะทำหน้าที่ในการป้องกันเชื้อแบคทีเรียไวรัสและปรสิตในทางเดินอาหาร ช่วยให้แบคทีเรียมีประโยชน์ชนิดบิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ในลำไส้ของทารกเพิ่มขึ้น แต่จะกำจัดแบคทีเรียแกรมลบที่ก่อให้เกิดโรคชนิดเอนเทอโรแบคทีเรีย (Enterobacteria)

อย่างไรก็ตาม นพ.ธวัชชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้จะมีผลิตภัณฑ์นมให้เลือกซื้อจำนวนมากในท้องตลาด แต่นมแม่ก็ยังถือว่าเป็นนมที่ดีที่สุดของทุกๆ ชีวิต ควรให้นมแม่เป็นทางเลือกที่หนึ่งของลูก แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ทดแทน ควรมีการเลือกอย่างละเอียดและต้องใส่ใจกับสารอาหารที่ลูกจะได้รับ เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสมองและร่างกายของลูกน้อยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องราคาต้องคำนึงให้เหมาะสมกันประโยชน์ที่ได้รับ โดยไม่จำเป็นต้องมีราคาสูงเกินไป เพราะของแพงบางอย่างก็ไม่ได้ให้คุณค่าอย่างที่คาดหวังเอาไว้เลย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

รวมอันตรายจากการดูทีวี

รวมอันตรายจากการดูทีวี

หากคุณพ่อคุณแม่เป็นท่านหนึ่งที่กังวลเกี่ยวกับการรับชมทีวีของบุตรหลานภายในบ้าน และมักจะพบว่ามีงานวิจัยเกี่ยวกับอันตรายจากการดูทีวี - ดีวีดี - เล่นเกม - อินเทอร์เน็ตผ่านตาอยู่เสมอ ๆ วันนี้มีรายงานอีกหนึ่งชิ้นที่ออกมายืนยันถึงอันตรายจากการปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ รวมถึงตัวพ่อแม่ผู้ปกครองเองจดจ่ออยู่กับสื่อเหล่านี้มาฝากกันค่ะ

ข้อแรก เหตุที่ทำให้ "ทีวี" นั้นอันตรายมาจาก "ภาพและเสียง" ที่ปรากฏอยู่บนทีวี ซึ่งสามารถดึงดูดใจให้มนุษย์จดจ่ออยู่กับมันเป็นเวลานาน ๆ ได้ ไม่เพียงเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ยังได้ทำการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในเลือด และพบว่ามีการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดของร่างกายผิดพลาด และนั่นส่งผลต่อการทำงานของสมอง และการเรียนรู้ได้

ประการที่สองก็คือ แม้พ่อแม่จะเลือกรายการที่มีประโยชน์ให้ลูกดูก็ตาม แต่หากไม่พิจารณา "ช่วงอายุ และระยะเวลา" ในการรับชม ก็มีผลร้ายต่อสุขภาพลูกไม่แพ้กัน หากลูกอายุตั้งแต่ 0 - 3 ขวบแล้วยิ่งไม่ควรให้ดูทีวีโดยเด็ดขาด เพราะ 80 เปอร์เซ็นต์ของการพัฒนาสมองมนุษย์เกิดขึ้นในช่วงอายุดังกล่าว การดูทีวีในช่วงอายุนั้นอาจทำให้การพัฒนาทางสมองไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น หรือทำให้พัฒนาการล่าช้า-เกิดความผิดปกติขึ้นได้

ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟลอเรนซ์ในปี 2006 พบว่า เด็กอายุระหว่าง 6 - 13 ปีที่มักจะดูทีวีเป็นเวลานาน ๆ แล้วถูกห้ามไม่ให้ดูทีวีเป็นเวลา 1 สัปดาห์ มีระดับของฮอร์โมนเมลาโทนิน (ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งเราสู่นิทราแสนหวาน และมีความสำคัญยิ่งต่อการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย) ลดลง 30 เปอร์เซ็นต์

การทำงานที่ผิดปกติของร่างกายอันมีผลทำให้การหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้น้อยลง เป็นเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่คำตอบของคำถามว่า เพราะเหตุใด เด็กผู้หญิงในยุคนี้จึงเริ่มเป็นสาวไวกว่าเด็ก ๆ เมื่อ 20 ปีก่อน (เด็กหญิงปัจจุบันเริ่มเป็นสาวที่อายุ 9 ขวบ 10 เดือน (โดยเฉลี่ย) ขณะที่เด็กสาวในสมัยก่อนจะเริ่มมีอาการแตกเนื้อสาวเมื่ออายุ 10 ขวบ 10 เดือน)

ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายก็มีผลกระทบเช่นเดียวกัน ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์เปิดเผยว่า เด็กผู้ชายอายุ 15 ปีจำนวน 290 คนที่ดูทีวี - ดีวีดี หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชม.ต่อวันเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเมื่อพวกเขาโตขึ้น

ด้านมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมก็พบว่า ผู้หญิงที่ดูทีวีระหว่างรับประทานอาหารมีโอกาสจะรับประทานขนม ของว่างมากขึ้นหลังจากมื้ออาหารผ่านไป เหตุเพราะการดูทีวีนั้นจะขัดขวางการปล่อยฮอร์โมนในเลือดที่ควบคุมความหิว - อิ่มของร่างกาย

ส่วนผลการศึกษาจากวิทยาลัยการแพทย์ Dunedin นิวซีแลนด์ ซึ่งนักวิจัยได้ติดตามพฤติกรรมของคน 1,000 คนเป็นเวลา 26 ปี (ตั้งแต่ยังอายุน้อย ๆ) พบว่า คนที่ดูทีวีมากกว่า 2 ชม.ต่อวันตั้งแต่อายุ 5 - 15 มีระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าคนทั่วไป 15 เปอร์เซ็นต์

การดูทีวียังไปสะกัดกั้นการปล่อยสารโดปามีน (สารชนิดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการมีสมาธิจดจ่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อเราเรียนรู้ หรือศึกษาในเรื่องใหม่ ๆ สมองจะปล่อยโดปามีนออกมา เพื่อให้เราจดจ่อในสิ่งนั้น ๆ ได้) นั่นทำให้เด็กไม่สามารถจดจ่อ หรือมีสมาธิได้

สุดท้าย ผลการศึกษาจากสถาบันโรคหัวใจและเบาหวาน จากเมลเบิร์นพบว่า การดูทีวีในแต่ละวันของผู้ใหญ่ทำให้โอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์

ทางแก้นั้นไม่ยาก เพียงแค่ "ปิดทีวี" ก็เท่ากับคุณได้ป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติเหล่านี้กับร่างกาย หรือจะเลือกหนังสือดี ๆ สักเล่มมาอ่าน ก็ได้ความรู้ไม่แพ้กัน แถมไม่ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบด้วย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

"ว.วชิรเมธี-แม่ชีศันสนีย์" ตกผลึกแง่คิดปั้นลูกให้เกิดมาดี

"ว.วชิรเมธี-แม่ชีศันสนีย์" ตกผลึกแง่คิดปั้นลูกให้เกิดมาดี

ขึ้นชื่อว่าเป็น "พ่อแม่คน" แค่ในนามอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะถือเป็นงานสำคัญ ที่ต้องใช้ทั้งหัวใจปั้นลูกให้เกิดมาดีด้วยความรักอย่างมีสติ เพื่อให้ลูกเติบโตเป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย และทางใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยกับการเลี้ยงลูกท่ามกลางยุคสมัยที่รายล้อมไปด้วยความเสี่ยงรอบด้าน แต่หากพ่อแม่เข้าใจ และใช้หลักธรรมเลี้ยงลูกอย่างถูกทาง คงจะเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้งานปั้นลูกในยุคสมัยใหม่มีความหวังมากขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อเป็นตัวช่วยและแนวทางให้กับพ่อแม่ในการปั้นลูก วันนี้ทีมงาน Life and Family มีแง่คิดดีๆ ที่เห็นเป็นรูปธรรมจาก พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย และ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ในงานเปิดตัวหนังสือ "มีความสุขให้ลูกเห็น เป็นคนดีให้ลูกดู" เก็บมาฝากกัน

โดยท่านว.วชิรเมธี พระนักคิด นักเทศน์ กล่าวไว้ว่า พ่อแม่มีสิทธิเลือกลูก และลูกก็มีสิทธิเลือกพ่อแม่เช่นกัน เราจะได้รับในสิ่งที่เหมาะสมกับจิตของเรา โดยการ "ปฏิสนธิจิต" คือ จิตที่จะอยู่ในครรภ์ของแม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มข้นของคุณธรรมด้วย ถ้าเราอยากได้ลูกดีมาเกิด พ่อแม่ก็ต้องดำรงอยู่ในศีลธรรม

ดัง นั้น หน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ คือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นแค่ในนาม แต่พ่อแม่ที่สร้างลูก เปรียบเสมือนผู้ที่สร้างโลก เด็ก ๆ คือความหวังของมนุษยชาติ และวันพรุ่งนี้

"งาน สร้างโลก คืองานสร้างลูก เราจะออกแบบคนไทยในวันพรุ่งนี้อย่างไรให้มีคุณภาพ นี่คือโจทย์ที่ท้าทาย และดูเหมือนจะทำได้ยาก แต่พวกคุณกล้าไหม จากลูกของเรา ให้กลายเป็นลูกของโลก ซึ่งพ่อแม่ที่จะสามารถเป็นผู้สร้างโลกได้ คือพ่อแม่ที่มีหัวใจเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ว่าลูกจะเกิดมาเป็นอย่างไร สมบูรณ์หรือไม่ พ่อแม่จะไม่ปฏิเสธลูก เลี้ยงลูกให้ดีที่สุด และพร้อมที่จะยอมรับลูกในทุกๆ สภาวะที่ลูกเป็น" ท่านว.วชิรเมธีให้สติ

เช่นเดียวกับ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ผู้ มีประสบการณ์เชิงรุก และเชิงรับในการทำงานกับเด็ก และครอบครัวมากกว่า 20 ปี เผยถึงการเลี้ยงลูกด้วยหลักวิถีพุทธในงานเดียวกันนี้ว่า เมื่อคิดที่จะมีลูก ต้องเริ่มจากการเตรียมความพร้อมของการเป็นพ่อแม่ ตั้งแต่การอธิษฐานจิตตั้งใจ และตั้งใจมั่นที่จะทำให้สำเร็จ ถ้าพ่อแม่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ใจจะมีพลัง และเป็นกุศล ซึ่งจะช่วยส่งผลให้จิตที่ดีมาปฏิสนธิในครรภ์แม่

สิ่งเหล่านี้ แม่ชีท่านนี้บอกว่า ถือเป็นการลงทุนเพียงน้อยนิด แต่ให้ผลกำไรมหาศาล โดยพุทธศาสนามีแต่กรรมลิขิต ซึ่งหมายความว่า อยากให้ลูกเป็นแบบใด ก็จงทำตัวแบบนั้นให้ลูกเห็น ซึ่งพ่อแม่ไม่ควรเลี้ยงลูกให้เป็นดั่งใจเรา เพราะตัวพ่อแม่เองจะเป็นทุกข์ แต่ควรเลี้ยงลูกด้วยความรัก และความเข้าใจ ตราบใดที่หัวใจของแม่กอดลูก ก็เท่ากับหัวใจของแม่กอดโลก

"ใน สังคมปัจจุบัน รอบ ๆ ตัวเด็กรายล้อมไปด้วยโลกแห่งวัตถุ พ่อแม่มีหน้าที่ประคับประคองจิตใจเด็ก ๆ ให้มีสติโดยคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น อารมณ์มาแป๊บๆ แล้วก็จากไป สุขแป๊บๆ โศกแป๊บๆ แล้วก็จากไป พ่อแม่ไม่ใช่ผู้ชี้นำ อย่าชี้ผิดชี้ถูกกับลูก แต่พ่อแม่เปรียบเหมือนผู้สังเกต สังเกตในสิ่งที่เขาเป็น ให้เขาพอใจในสิ่งที่เขาทำ มีความสุขในสิ่งที่เขาเป็น ให้เขาค้นพบด้วยตัวเอง หลังจากนั้น จึงค่อยๆ สอนลูกให้มีจิตที่เป็นสมาธิ สื่อสารกับเด็กให้เขามั่นคง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม" แม่ชีศันสนีย์ให้แนวทางในการปั้นลูกยุคใหม่

มาฟังเสียงของคุณแม่คนเก่งอย่าง สู่ขวัญ บูลกุล พิธีกร และผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ใน บทบาทของการเป็นแม่ เธอเชื่อเสมอว่า การเลี้ยงลูกให้ดี พ่อแม่ต้องเอาสิ่งไม่ดีออกจากตัวเองเสียก่อน พร้อมกับเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น ใส่วิจารณญาณ และศีลธรรมเป็นวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูก โดยให้คุณค่าในสิ่งที่คิดว่าดีสำหรับลูก ที่สำคัญ พ่อแม่ต้องให้ความรักกับลูกอย่างถูกทาง และท้ายที่สุดลูกก็จะสามารถแยกแยะได้เองว่า อะไรผิดอะไรถูก สิ่งไหนควรทำ หรือไม่ควรทำ

การ เลี้ยงลูกให้เกิดมาดี นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าท้ายของพ่อแม่ท่ามกลางสังคมยุคใหม่ที่รายล้อมไปด้วย ความเสี่ยงต่างๆ ทำให้งานเลี้ยงลูกเป็นงานที่หนัก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ พ่อแม่ต้องเป็นคนดีให้ลูกดู มีความสุขให้ลูกเห็น ดังคำที่ว่า "อยากให้ลูกเติบโตเป็นคนอย่างไร พ่อแม่ต้องเป็นแบบนั้นให้ลูกเห็น" เพราะแบบอย่างของพ่อแม่ คือต้นแบบในการเรียนรู้และเลียนแบบของลูก

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

"สายสะดือเด็ก" กับความเชื่อที่คุณอาจไม่เคยรู้

เปิดความเชื่อที่อาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ "สายสะดือเด็ก"

หากพูดถึงสายสะดือของเด็ก ไม่เพียงแต่เป็นสายใยหล่อเลี้ยงชีวิตลูกน้อยในครรภ์เท่านั้น แต่ยังเป็นสายใยแห่งความเชื่อที่มีตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณ โดยเฉพาะสะดือของลูกหลังคลอดที่แห้งหลุดออกมา คนสมัยก่อนจะให้ความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเอาไปทำยา หรือเก็บไว้เป็นเครื่องรางติดตัวลูก

กับความเชื่อดังกล่าวนี้ หมอวี-กวี ทัศนศร อายุ 53 ปี หมอนวดแผนไทย และหมอพื้นบ้านผู้มีความรู้เกี่ยวกับการทำคลอด บอกเล่าให้ทีมงาน Life and Family ฟัง ว่า ความเชื่อเรื่องสายสะดือของเด็ก คนโบราณมักเชื่อกันว่า หากสายสะดือของลูกหลุด พ่อแม่มักจะเก็บไปทำยา ด้วยการนำไปตากแห้ง นำมาฝนให้ลูกกินแก้อาการเจ็บป่วย โดยมีข้อแม้ว่า สะดือของเด็กคนใด ต้องเป็นของเด็กคนนั้น

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละภาคของไทย มีความเชื่อเรื่องสายสะดือแตกต่างกัน โดยชาวล้านนามีความเชื่อกันว่า สายสะดือของเด็ก เป็นสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง จึงต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี ด้วยการทำให้แห้งสนิท แล้วห่อกระดาษเก็บเอาไว้ เมื่อเด็กที่เป็นพี่มีน้องคลอดตามมา แม่จะเอาสะดือของทั้งสองพี่น้อง หรือของลูกทุกคน มาฝนกับหินฝนยา แล้วเอาน้ำสะดือนั้นให้ลูกทุกคนกิน โดยเชื่อกันว่า พี่น้องจะได้รัก และห่วงใยกัน เหมือนเป็นการกรีดเลือดสาบานดื่มพร้อมกัน ดังคำสอนของชาวล้านนาที่ว่า "ปี้น้องกันกกไส้ปั๋นกั๋น หื้อฮักกั๋น" ซึ่งหมายความว่า พี่น้องตัดไส้แบ่งกันจะได้รักกัน

ส่วนภาคใต้ เมื่อหมอตัดสายสะดือเด็กด้วยไม้ไผ่บางๆ และผูกด้วยด้ายดิบเป็นสอง หรือสามเปลาะ เอาสายสะดือเปลาะที่สองนับจากตัวเด็กวางลงบนขมิ้นแล้วตัดเอาส่วนที่เป็นรอย ไปแตะที่ขมิ้น ปาก และมือของเด็ก โดยถือเคล็ดที่ว่า ป้องกันไม่ให้เด็กปากไม่ดี มือบอน มือไว หรือซุกซน จากนั้นเอาเชือกผูกสายสะดือส่วนที่ติดกับตัวเด็กอีกครั้งแล้วเอายาทา โดยยาที่ใช้ทา คือ ยาพลับพลา ขี้เต่า หญ้าใต้ใบ หรือรัง เป็นต้น ซึ่งใช้วิธีบดโรยบนสะดือทิ้งไว้ราว 7 วัน สะดือเด็กก็จะหลุด ก่อนสะดือเด็กจะหลุดนั้น ต้องอาบน้ำให้เด็กนอกอ่าง เพราะเชื่อว่า ถ้าสะดือหลุดในอ่างภายหน้าเด็กจะเสียชีวิตในน้ำ

ทั้งหมดนี้ หมอวีบอกว่า เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ปัจจุบันมีให้เห็นน้อยลง หรือแทบจะไม่มีเลย เนื่องจากวิทยาการทางการแพทย์มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น

สำหรับ ความเชื่อเดียวกันนี้ ไม่เฉพาะแต่เพียงคนไทยเท่านั้นที่ให้ความสำคัญ ฟากฝรั่ง หรือชาวต่างชาติก็มีความเชื่อ และให้ความสำคัญในเรื่องนี้ไม่น้อย ซึ่งหากค้นตำนานความเชื่อของฝรั่ง และชาติต่างๆ พบว่า สายสะดือของเด็กที่หลุดออกนี้ นับเป็นของขลังสำหรับเด็กในอนาคตข้างหน้า ซึ่งหากเด็กเจ้าของสายสะดือเจ็บป่วยขึ้น จะได้ดูดสายสะดือกินเป็นการแก้อันตราย

เห็นได้จาก ชาวบ้านชาวกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี หมอตำแยจะมอบสายสะดือแห่งนี้ให้บิดาของเด็กรักษาไว้จงดี ถ้ารักษาไว้ได้นานตราบใด เด็กจะมีความเจริญปราศจากโรคภัยไข้เจ็บตราบนั้น

ส่วนชาวอังกฤษเมื่อราวร้อยปีเศษล่วงมานี้ มีประกาศขอซื้อสายสะดือแห้งบ่อยๆ ถือว่าสะดือเป็นของขลังเมื่อต้องล่องเรือไปกลางทะเล เพราะเชื่อกันว่า จะช่วยไม้ให้เรืออับปาง ทั้งยังเป็นของนำโชคลาภมาให้แก่ผู้ครอบครอง เช่น เวลาตกน้ำ ถ้ามีติดตัวไว้ แม้ว่ายน้ำไม่เป็นก็จะไม่จมน้ำตาย

เช่นเดียวกับที่เกาะเซรัม และเกาะอื่นๆ ทางทะเลใต้ ตลอดจนชาวออสเตรเลีย ส่วนใหญ่มักเอาสายสะดือแห้งๆ ผูกคอเด็กเป็นเครื่องราง โดยเชื่อว่าจะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บของเด็ก หรือถ้าเด็กเจ็บป่วยก็จะใช้สายสะดือเป็นยารักษาโรค และทำให้เด็กเติบโตเร็ว ตลอดจนเป็นเครื่องรางป้องกันตัวเองให้พ้นภัยเมื่อต้องออกเดินทางหรือทำ สงคราม

ทางด้านประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างพม่า พวกเขาเชื่อว่าสายสะดือเด็ก ถ้านำติดตัวไปด้วย จะทำให้ใครๆ มีจิตใจเมตตา ขณะที่ชาวฮินดูลางถิ่น ใช้สายสะดือป่นกับไข่ให้เด็กกิน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดสติปัญญา และถ้าบรรจุเย็บไว้ที่คอเสื้อผ้าของเด็ก เด็กจะเป็นคนเก่งกล้าสามารถ

เมื่อ พิจารณาคติของไทย และชาติต่างๆ ตามที่เล่ามาแล้ว สายสะดือถือเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของเด็ก เพราะเด็กมีชีวิตอยู่ได้ในท้องแม่ โดยอาศัยสายสะดือเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้สูงอายุของไทยสมัยก่อนมักเก็บสายสะดือแห้งไว้เป็น น้ำกระสายยา เวลามีใครป่วยหนักกินยาอะไรไม่ทุเลา จะฝนสายสะดือแห้งเป็นน้ำกระสายแทรกไปกับยาอื่นเป็นอย่างยาอธิษฐาน นอกจากนี้ยังใช้สายสะดือแห้งฝนกับน้ำมะนาว ทาแก้พิษแมลงอะไรต่อยได้ด้วย

อย่าง ไรก็ดี ทางทีมงานได้พยายามติดต่อสอบถามไปยังแพทย์แผนปัจจุบันอยู่หลายคน เพื่อนำข้อมูลมารองรับกับความเชื่อดังกล่าว แต่ไม่มีท่านใดให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย ดังนั้นจึงขอฝากไว้ว่า เมื่อพ่อแม่รู้ถึงความสำคัญของสายสะดือที่เป็นเหมือนเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ลูกระหว่างอยู่ในครรภ์ แต่เมื่อลูกคลอดออกมา สะดือลูกถือเป็นส่วนสำคัญที่พ่อแม่ทุกคนจะต้องดูแลให้สะอาดตามหลักการแพทย์ ปัจจุบันอย่างดีที่สุด และควรระวังความเชื่อที่มีความเสี่ยงต่างๆ เพราะตราบใดที่สายสะดือยังไม่หลุดออกไป โอกาสที่ลูกจะติดเชื้อทางสายสะดือย่อมมีความเสี่ยงได้สูง

เทคนิคการเช็ดสะดือให้ลูก

- หากสายสะดือยังไม่หลุดให้เช็ดทำความสะอาดรอบสะดือหลังอาบน้ำหรือหลังการเช็ดตัวลูกทุกครั้ง

- จับ สายสะดือให้สูงขึ้น โดยจับปลายเชือกที่ผูกสายสะดือยกขึ้น อีกมือให้ใช้สำลีสะอาดชุบแอลกอฮอล์ 70 % พันไม้สอดเข้าไปเช็ดสะดือให้สะอาดทั่วถึง โดยเช็ดสะดือด้านในเบาๆ ไปจนถึงโคนสะดือ

- ใช้สำลีพันปลายไม้อันใหม่เช็ดขอบสะดือเป็นวงกว้าง และบริเวณรอบสายสะดือให้สะอาดอีกครั้ง โดยไม่ใช้ส่วนที่เช็ดแล้วมาเช็ดซ้ำอีก

- หลังเช็ดสะดือแล้วไม่ควรโรยแป้ง เพราะจะทำให้สะดือแห้งช้า และยังเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคควรเปิดสะดือลูกให้ถูกอากาศบ่อยๆ สะดือจะได้ไม่อับชื้น

- ถ้าสายสะดือหลุดแล้ว แต่สะดือยังไม่แห้งสนิท ควรเช็ดทำความสะอาดต่อไปก่อน จนกว่าจะเห็นว่าสายสะดือแห้งสนิทแล้วค่อยเลิกเช็ด

- ถ้าเห็นว่าสายสะดือของลูกอักเสบ สะดือแดงผิดปกติ หรือสะดือมีหนอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

---------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอ ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือประเพณีเกี่ยวกับชีวิต งานนิพนธ์ชุดประเพณีไทยเรื่องการเกิด ของเสฐียรโกเศศ จากต้นฉบับที่พิมพ์โดย สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, ข้อมูล และวรรณนิทัศน์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่องการเกิด สำนักหอสมุดแห่งชาติ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ไม่อยากตีลูก...ควรแก้ไขลูกอย่างไรดี

7 ทางเลือกที่ดีกว่า "ตี" เพื่อบ้านนี้ไม่มีความรุนแรง

ช่วงนี้สังคมไทยเต็มไปด้วยข่าวการทำร้ายร่างกายและจิตใจเด็กแทบทุกวัน แถมการทำร้ายที่ปรากฏเป็นข่าวแต่ละครั้งก็รุนแรงมากขึ้นทุกที ด้านเด็กที่รับเคราะห์ ส่วนมากยังอยู่ในวัยน่ารักไร้เดียงสา อายุเพียง 1 - 4 ขวบเท่านั้น ส่วนคนทำใช่ใครอื่น หากไม่ใช่พ่อแม่ก็ล้วนเป็นบุคคลใกล้ชิดของเด็กนั่นเอง

คงไม่ผิดหากจะบอกว่าความรุนแรงเหล่านี้เกิดเพราะหลายครอบครัวยังใช้ การตีเป็นการระบายอารมณ์โกรธของผู้ใหญ่ที่ไม่พอใจต่อการกระทำของลูก รูปแบบการตีจึงมักรุนแรง รวดเร็ว ขาดการยั้งคิด ส่วนเด็กนอกจากจะตกใจและเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้รับแล้ว บางครั้งเขาเองก็ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่า สิ่งที่ทำไปนั้นผิดตรงไหน และอาจรอคำอธิบายจากผู้ใหญ่อยู่ก็เป็นได้

ดังนั้น ก่อนจะตีเด็ก ลองทำเรื่องดี ๆ กับใจของตนเองกันก่อนดีไหมคะ ว่าในฐานะพ่อแม่ ผู้ปกครอง เราจะก้าวผ่านช่วงอารมณ์โกรธพุ่งสูงนี้ไปได้อย่างไร โดยไม่เผลอใจ "ลงโทษ" ลูกไปเสียก่อน

1. ทำใจให้สงบ

อาจเป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างยากสักนิด โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ขี้โมโห เจอลูกทำผิด ไม่ได้ดั่งใจก็ฟาดเพี้ยะ แต่ทางเลือกที่ดีกว่าการตีกลับกลายเป็นการที่พ่อแม่พยายามสงบใจ แล้วค่อย ๆ อธิบายให้ลูกฟังว่าเขาทำอะไรผิดไป เพราะบางทีเด็กก็ไร้เดียงสา และไม่ทราบจริง ๆ ว่านั่นคือสิ่งที่ผิด

2. หาเวลาให้ตัวเองบ่อย ๆ

แม้จะเป็นคุณพ่อคุณแม่ แต่ก็ต้องแบ่งเวลาดูแลตัวเองด้วย การให้เวลาตัวเองได้พักผ่อน ฟังเพลง คุยกับเพื่อน อ่านหนังสือ ฯลฯ เหล่านี้จะช่วยให้คุณกลับมามีพลัง พร้อมสำหรับการดูแลคนอื่น ๆ มากขึ้น สำหรับพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้ให้ตัวเอง มักจะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่เผลอตีลูก หากลูกทำอะไรให้ไม่พอใจด้วย ดังนั้น หาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ่อย ๆ นะคะ

3. บอกลูกในแบบที่เด็กรับฟังได้

พ่อแม่มักจะตีลูกเวลาที่พูดแล้วลูกไม่ฟัง ครั้งต่อไป ลองใช้วิธีย่อตัวลง ให้ระดับสายตาของคุณกับลูกอยู่ในระดับเดียวกัน วางมือบนไหล่ของลูกอย่างอ่อนโยน จากนั้นบอกให้เขาทราบเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอยากให้เขาทำ ช้า ๆ แต่หนักแน่น

4. เสนอทางเลือก

การให้ทางเลือกกับเด็กเป็นเทคนิคที่ดีที่จะช่วยให้เด็กหันไปสนใจกับ ทางเลือกที่เขามี แทนที่จะมาดื้อกับพ่อแม่ ลองเสนอทางเลือกสัก 2 ทางที่ "เข้าทาง" คุณ เช่น หากลูกมัวแต่เล่นเพลินบนโต๊ะทานข้าว ทางเลือกที่คุณเสนออาจเป็น "ลูกจะหยุดเล่นแล้วทานข้าวให้เสร็จ หรือจะขึ้นห้องนอนทั้ง ๆ ที่ยังหิวดีนะ" จากนั้นก็กระตุ้นให้เขาตัดสินใจบนทางเลือกที่เขามี (อาจจะบอกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาในแต่ละข้อด้วยก็ดีค่ะ)

5. สอนให้เด็กแก้ไขความผิดพลาด

สมมติว่า ลูกของคุณซนจนทำกระจกหน้าต่างเพื่อนบ้านแตก แล้วคุณเห็นเข้า ก็เลยลงโทษด้วยการตีไปเรียบร้อย สิ่งที่เด็กเรียนรู้คืออะไร พ่อแม่อาจคิดว่า เด็กจะเรียนรู้ว่าอีกหน่อยไม่ควรทำ แต่เขาก็อาจเรียนรู้ว่า คราวหน้าถ้าเขาเกิดทำผิดขึ้นมาแล้วไม่อยากโดนตี เขาจะต้องซ่อนความผิดพลาด ลองพูดกับลูกว่า "แม่เห็นว่าลูกทำกระจกบ้านตรงข้ามแตก ลูกจะทำอะไรได้บ้างเพื่อชดเชยให้เขา"

6. ทำข้อตกลงกับลูก

หากใครได้ดูชินจัง ก็จะพบว่า ชินจังกับแม่มิซาเอะมีข้อตกลงร่วมกันนับร้อยข้อเพื่อความปกติสุขในครอบครัว คุณก็สามารถทำข้อตกลงร่วมกับลูกได้เช่นกัน แต่ถ้าลูกทำผิดข้อตกลงขึ้นโดยที่เขาไม่ตั้งใจ ลองให้โอกาสเขาแก้ตัวใหม่แทนการตี หรือลงโทษ ก็จะช่วยให้เขารู้สึกดีด้วยเช่นกัน

7. อย่าลงไปทะเลาะกับลูก
หากลูก (ที่ยังเล็ก) ใช้คำพูดหรือกริยาท่าทางที่ไม่ดีกับคุณจนคุณโมโห คำแนะนำคืออย่าลงไปทะเลาะกับลูก เพราะจะไม่มีฝ่ายใดชนะเลย ลองเลือกที่จะสงบใจ อดทน ไม่ตีทันที แล้วบอกกับลูกว่า "แม่ (หรือพ่อ) จะนั่งอยู่ที่ห้อง... ไว้ลูกพร้อมที่จะคุยค่อยมาหาแม่ได้" เทคนิคนี้ก็เป็นเรื่องดีที่ปล่อยให้เด็ก (และตัวพ่อแม่เอง) ได้จัดการกับอารมณ์ของตัวเอง ไม่ให้โทสะเข้าครอบงำจนใช้ความรุนแรงตอบโตได้ค่ะ

การอบรมสั่งสอนลูกถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจท้าทายสำหรับพ่อแม่ทุกคน แถมเมื่อได้เห็นลูกเติบโตเป็นคนดียิ่งเปรียบเหมือนรางวัลที่ยิ่งใหญ่จน ประเมินค่าไม่ได้ เทคนิคเหล่านี้จึงเหมือนอีกหนึ่งตัวช่วยให้งานของพ่อแม่นั้นง่ายขึ้น และเดินทางสู่จุดหมายได้ไวขึ้นนั่นเองค่ะ

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก more4kids.info

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

อย่าให้ "คำพูด" ทำร้ายลูก หันมาสื่อสารกันอย่างเข้าใจ

อย่าให้ "คำพูด" ทำร้ายลูก หันมาสื่อสารกันอย่างเข้าใจ

อย่างที่ทราบกันดีว่า คุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยกับลูกได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะเด็กจะจดจำเสียงผ่านผิวหนังหรือเนื้อเยื่อต่างๆ ของแม่ได้ดีกว่าการได้ยินเสียงผ่านในอากาศ ยิ่งคุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับลูกมากเท่าไรก็จะสามารถสร้างความคุ้นเคยให้กับลูก มากเท่านั้น แต่ทั้งนี้เมื่อลูกคลอดออกมา การสื่อสารกับลูกจึงเป็นอีกเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ควรคำนึงถึงพัฒนาการและการรับรู้ของลูกควบคู่กันไปด้วย

หากเป็นเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเตาะแตะ "นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์" หัว หน้าหน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล กล่าวว่า คุณพ่อคุณแม่จะต้องสื่อสารด้วยภาษาที่ชัดเจนกับลูก เช่น ได้หรือไม่ได้ เพราะเด็กเล็กจะไม่รู้จักว่ามันมีสีเทา สีแสดมันเป็นอย่างไร ซึ่งหากอธิบายขยายความก็จะทำให้เด็กเกิดความสับสนได้ และที่สำคัญพ่อแม่ต้องมีความสม่ำเสมอด้วย

"มัน กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ในบางครั้งก็มักจะห้ามปรามเด็กๆ แต่บางครั้งก็จะปล่อยให้เด็กทำอะไรตามใจชอบ มันทำให้เด็กเกิดความสับสนว่า ตกลงเรื่องนี้สามารถทำได้ไหม? หรือทำไม่ได้ สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 1-2 ขวบ คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มพูดกับลูกด้วยการบอกว่าสิ่งไหนทำได้หรือสิ่งไหนทำ ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเด็กตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป ถ้าลูกจะไปเล่นแก้วน้ำที่แตกง่าย ก็บอกว่าเล่นไม่ได้ ถ้าลูกอยากจะเล่นก็ให้เล่นแก้วที่เป็นพลาสติก ซึ่งจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนว่าเด็กจะรับรู้ได้ตามพัฒนาการ"

ทั้งนี้ คุณหมอบอกถึงหัวใจสำคัญที่มีผลต่อการสื่อสารกับลูกว่า ต้องมีความชัดเจน ต้องดูความเหมาะสมกับพัฒนาการด้านการรับรู้ของลูก และต้องมีความสม่ำเสมอ อย่าง ไรก็ตามมักเกิดคำถามว่า พ่อแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเข้าใจในการสื่อสาร ซึ่งตามธรรมชาติของเด็กจะเกิดความสงสัยอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นเด็กเล็กเล่นไม่ได้ก็คือไม่ได้หรือห้ามเด็ดขาด แต่ถ้าเป็นด็กโตคุณพ่อคุณแม่ต้องให้คำอธิบายที่สามารถเข้าใจง่าย สั้นๆ แต่ได้ใจความ อย่าพยายามยืดเยื้อในการพูด อีกทั้งเมื่อใดที่เด็กเกิดความสงสัย ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ต้องพร้อมตอบคำถามให้เด็กเข้าใจตามความสามารถในการรับรู้ ของเด็กเองด้วย

แต่หากการสื่อสารกับลูกไม่เป็นผล หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่นท่านนี้ ให้คำแนะนำว่า สิ่งที่พ่อแม่ต้องควรปฏิบัติ คือการกำกับให้ลูกทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ไม่ใช่การบังคับ ยกตัวอย่างง่ายๆ กับเด็กที่เริ่มหัดเดินก็ย่อมต้องการเดินไปไหนมาไหนตามใจชอบ พอลูกจะเดินออกไปนอกบ้าน ไปกลางถนน พ่อแม่จะคอยตะโกนห้ามไม่ให้ลูกเดินออกไป แต่ก็ไม่ได้ไปจับตัวของลูกเอาไว้ เขาจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันจะมีอันตรายอย่างไร เพราะพ่อแม่เองก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรมากมาย นอกจากนั้น การใช้น้ำเสียงและท่าทางก็เป็นส่วนประกอบที่จะช่วยให้การสื่อสารกับลูกประสบ ความสำเร็จ

"พ่อ แม่บางคนบอกว่า อย่าทำนะลูก เดี๋ยวมันจะตกแตก หรือไม่เอานะลูกไม่ควรทำ บางครั้งการห้ามจะต้องอาศัยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงจัง เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าไม่สามารถทำได้จริงๆ แต่ถ้าเป็นการพูดชักชวนต่างๆ ก็ควรใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน น่าหลงใหลเชื่อฟัง และการพูดในทางลบซ้ำๆ ซากๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดกับเด็ก เพราะนอกจากเด็กจะไม่จดจำแล้ว เด็กยังเกิดความรำคาญและกลายเป็นเด็กที่ไม่เชื่อฟังได้" นพ.พงษ์ศักดิ์อธิบาย

เช่นเดียวกับ "รศ.นท.นพ. ชิษณุ พันธุ์เจริญ" กุมาร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สะท้อนมุมมองกับเรื่องเดียวกันนี้ว่า สำหรับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสื่อสารกับลูกด้วยใช้ภาษากายเป็นองค์ประกอบกับการ พูดคุย เพราะส่วนมากจะคาดหวังกับพฤติกรรมของเด็ก แต่ไม่เคยทำเป็นแบบอย่างให้เด็กเห็น เด็กจึงไม่สามารถทำได้ดีตามที่พ่อแม่ต้องการ อย่างที่บอกว่าพ่อแม่บางคนก็ยังขาดทักษะในการสื่อสารกับลูก ทำให้การพูดคุยกับลูกไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจลองปรับเปลี่ยนที่ตัวของพ่อแม่เองก่อน

"ถ้า การสนทนาไม่ได้อยู่ในความสนใจของลูก คุณพ่อคุณแม่อาจใช้หลักของการแบนความสนใจไปหาสิ่งเร้าใหม่ๆ ที่ทำให้เด็กสนุกจนลืมในสิ่งที่เราห้าม และต้องคอยสังเกตว่าลูกมีพฤติกรรมอย่างไรต่อการสื่อสารของพ่อแม่ด้วย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ต้องอาศัยการสังเกตมาก เพราะเด็กยังไม่สามารถตอบโต้ได้ พ่อแม่อาจจะสังเกตจากอาการร้องของเด็ก เพราะโดยสัญชาตญาณจะรู้ว่าลูกร้องแบบนี้แล้วต้องการอะไร"

อย่างไรก็ตาม การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์กับลูกสามารถทำได้โดยใช้กิจกรรมเป็นสื่อ เพราะทุกครั้งที่มีการทำกิจกรรมกันในครอบครัวมักจะมีการพูดคุยกันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การทำงานบ้าน การดูโทรทัศน์ การเล่นของเล่น ซึ่งลูกจะมีคำถามระหว่างการทำกิจกรรมตลอดเวลา ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กฝากข้อคิดทิ้งท้ายกับทุกบ้านว่า อย่า ลืมว่าการสื่อสารกับลูกจะสร้างความเข้าใจได้ดี สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ต้องพึงระวัง คือการเคารพและให้เกียรติคนพูด ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกของเราก็ตาม ควรให้โอกาสลูกได้พูด ได้สื่อสารตามความต้องการ หากเป็นสิ่งที่ผิดพลาดก็ค่อยหาวิธีในการอธิบายสิ่งที่ถูกต้องให้เขาเข้าใจ และสิ่งสำคัญพ่อแม่ต้องฟังลูกมากขึ้น ไม่ใช่จะสั่งอย่างเดียว โดยไม่ฟังความคิดเห็นของลูกเลย ในทางตรงกันข้ามควรกระตุ้นให้ลูกพูดและแสดงออกมากขึ้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

เทคนิคการทำการบ้านให้เกิดความสนุกสนาน

เทคนิคเปลี่ยนชั่วโมงทำการบ้านให้สนุก

ด้วยรูปแบบการศึกษาที่มีหลากหลาย จึงทำให้เด็กประถมสมัยนี้มีการบ้านเยอะบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเรียนในโรงเรียนแบบใด แต่สำหรับเด็ก ๆ ที่อยู่ในโรงเรียนประเภท "การบ้านเยอะ" สิ่งหนึ่งที่ต้องมีในแต่ละวันก็คือ ชั่วโมงการทำการบ้านนั่นเอง

เพื่อให้ลูกสนุกกับชั่วโมงทำการบ้าน ในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครองจึงต้องเตรียมตัวช่วยดี ๆ เอาไว้ให้ลูกกันสักหน่อย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยค่ะ

- ให้ลูกได้พักสักหน่อย อาจหาของว่างอร่อย ๆ เอาไว้รอท่า เช่น ขนม น้ำผลไม้ ก่อนจะเข้าสู่ชั่วโมงของการทำการบ้าน

- หากเป็นไปได้ ควรให้ลูกทำการบ้านให้เสร็จก่อนทานข้าวเย็น เพราะหลังทานข้าวเย็นเสร็จ เด็กอาจจะเหนื่อย เพลีย อิ่ม และอยากพักผ่อนด้วยกิจกรรมสนุก ๆ ก่อนนอน เช่น ฟังนิทาน มากกว่า

- ห้องที่ใช้ทำการบ้านควรจะเงียบสงบ ไม่มีสิ่งกวนใจ เช่น ทีวี มาทำให้เด็กไขว้เขว

- อยู่กับลูกเวลาที่ลูกทำการบ้าน โดยอาจจะทำงานของคุณไป หรือเตรียมมื้อเย็นไปด้วยก็ได้ แต่เหตุที่ให้อยู่กับลูกนั้นก็เพื่อให้เด็กรู้สึกว่า หากเขามีปัญหาอะไรก็สามารถขอความช่วยเหลือจากแม่ (หรือพ่อ) ได้

- พ่อแม่สามารถช่วยลูกในหลาย ๆ ทางให้เขาสามารถแก้ไขโจทย์การบ้านที่เขาติดขัดได้ แต่ไม่ควรลงไปทำการบ้านแทนลูก เช่น อาจเตรียมหนังสือ หรืออินเทอร์เน็ตให้เขาได้ใช้ค้นหาคำตอบ

เพราะการบ้านสำหรับเด็กไม่ควรจะเป็นเรื่องยากจนเด็กไม่สามารถทำได้ ดังนั้น ตัวเอกของชั่วโมงทำการบ้านจึงควรเป็นลูกน้อย ส่วนพ่อแม่ก็รับบทผู้สนับสนุนที่ดี คอยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ หรือหาทางสนับสนุนอย่างเหมาะสมนะคะ


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

เที่ยวทั้งครอบครัวได้แต่ต้องทำใจกับสารพัดแก๊งค์

เที่ยวทั้งครอบครัวได้แต่ต้องทำใจกับสารพัดแก๊งค์

ยุคนี้การมีแก๊งค์ มีกลุ่มกลายเป็นเรื่องอินเทรนด์ หากรวมตัวรวมแก๊งค์แล้วไปทำสิ่งดี ๆ ตอบแทนสังคมก็คงไม่เป็นไร แต่มีไม่น้อยที่รวมกลุ่มกันเพื่อหาประโยชน์เข้าตัว แก๊งค์ในลักษณะนี้มักจะแฝงตัวอยู่ตามซอกมุมต่าง ๆ ของสังคม ไม่เว้นแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยว

หลายครอบครัวที่ชอบสรรหาแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติมประสบการณ์ให้กับลูกน้อยคงจะเคยพบเคยเจอแก๊งค์เหล่านี้มาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น แก๊งค์ถ่ายรูป (ก่อนจะนำรูปของนักท่องเที่ยวไปแปะจานมายืนขาย) ซึ่งหากทำดี ๆ ก็อาจเป็นจุดขายให้กับการท่องเที่ยวได้ แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น ทีมงานมีโอกาสสัมผัสได้ด้วยตัวเองจากการเดินทางไปเที่ยวเขื่อนแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี และพบว่าทันทีที่นักท่องเที่ยวขึ้นนั่งบนขบวนรถ(ไฟ) แก๊งถ่ายรูปนี้ก็นำกล้องมาถ่ายนักท่องเที่ยวจนน่าเอือมระอา รวมถึงบอกให้นักท่องเที่ยวยิ้ม จนกว่าจะได้ภาพที่ตนเองพอใจ จึงจะล่าถอยไป

มากี่ครอบครัว โดนหมดทุกครอบครัวค่ะ...เรียกว่ากว่าจะได้เที่ยว เหี่ยว (ใจ) ไปเยอะเลย ก็เลยอยากเรียนถามท่านผู้อ่านท่านอื่น ๆ ว่าท่านผู้อ่านเจอการเอาเปรียบในลักษณะใดกันบ้างจากการพาลูกไปเที่ยว แบ่งปันกันสักนิดนะคะ

จบเรื่องแก๊งค์ไม่ค่อยดี มาดูการรวมแก๊งค์ดี ๆ สำหรับเด็กรับปิดเทอมนี้กันดีกว่าค่ะ

GYMBOREE เปิดค่ายภาษาอังกฤษวัยซนช่วงปิดเทอม

GYMBOREE สถาบันเสริมพัฒนาการเด็กเล็กเตรียมจัดแคมป์พิเศษ หลักสูตร Preschool I และ II สำหรับน้องๆ อายุตั้งแต่ 2.5-3.5 ปี และ 3.5 ปีขึ้นไป ในรูปแบบการเรียนรู้แบบใหม่ของ GYMBOREE เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้คุ้นเคยกับการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว ฝึกฝนการสังเกต รู้จักการเข้าสังคมผ่านการเล่นกับเพื่อนๆ ในบรรยากาศสนุกสนาน และส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษจากประเทศสหรัฐอเมริกา 100% สอนโดยครูต่างชาติเจ้าของภาษาโดยตรง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถมีส่วนร่วมในการฝึกภาษาอังกฤษกับลูกน้อยใน CAMP นี้ได้ สมัครด่วน รับจำนวนจำกัด เพียง 1 กลุ่มต่อระดับเท่านั้น เฉพาะสาขาสุขุมวิท เริ่มต้นความสนุกระหว่างวันที่ 4-22 ต.ค. นี้ สอบถามรายละเอียด โทร 02-762-7890 หรือ www.gymboree.co.th

Self Discovery Camp ค่ายรู้ทันใจ สอนเด็กไทยหยอดกระปุกบุญ

ค่ายต่อมาเป็นค่ายฝึก EQ ให้กับเด็ก ๆ กับการกลับมาอีกครั้งกับค่ายรู้ทันใจ เมื่อเด็กไทยในปัจจุบันโดยเฉพาะเด็กในสังคมเมืองต้องอยู่กับภาวะการแข่งขันแทบทุกอย่าง โดยเฉพาะด้านการเรียน ที่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะด้าน IQ หากสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือการส่งเสริมให้เด็กมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคงหรือมี EQ ที่สูงพอกับด้านอื่นๆ ทางสำนักพิมพ์พรีมา และฮอร์สชูพอยท์ พัทยา ได้จับมือจัด Self Discovery Camp หรือค่ายรู้ทันใจ ขึ้นในช่วงปิดเทอม ระหว่างวันที่ 19 – 23 ตุลาคม ศกนี้เพื่อส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้รู้ทันใจ รู้จักกิเลสผ่านการปฏิบัติ การสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งกีฬา ศิลปะ และเกมต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นให้เด็กเรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ รู้แพ้รู้ชนะ ที่สำคัญเรียนรู้ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ด้วยครูผู้มีประสบการณ์ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดที่เด็ก ๆได้ทั้งความสนุก เพลิดเพลินกับธรรมชาติ ที่ฮอร์สชูพอยท์ พัทยา ที่รายล้อมไปด้วยภูมิทัศน์ที่สวยงาม ผู้สนใจที่มีบุตรหลานอายุ 7 -11 ขวบติดต่อดูรายละเอียดได้ที่ www.primapublishing.co.th หรือ สอบถามที่ 0-2717-5111 และ 08-6984-9977

ลุยเขาใหญ่รับปิดเทอมกับโกจีเนียส

โก จีเนียส จับมือศูนย์ฝึกอบรมกรมป่าไม้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จัดค่าย “ผจญภัยในป่ามหาภัย ณ เขาใหญ่” ชวนน้องๆ ผจญภัยในป่า เรียนรู้วิทยาศาสตร์จากธรรมชาติจริง ท้าประลองความคิดกับเกมอัจฉริยะข้ามคืนจูเนียร์ เน้นกิจกรรมคิดวิเคราะห์ ทำได้ แก้ปัญาเป็นและรู้จักแบ่งปันทำงานเป็นทีม โดยเด็ก ๆ จะได้เดินป่าตามหาแมลงแปลกๆ ส่องนกหายาก แกะรอยเท้าสัตว์ป่า สำรวจพันธุ์ไม้ ท้าประลองพับแมลงยักษ์กับพี่ปอม นักพับกระดาษมืออาชีพ สนุกสุดท้าทายกับเกมอัจฉริยะข้ามคืนจูเนียร์ เพื่อให้เด็ก ๆคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้และเรียนรู้การเป็นคนดีของสังคม วันที่14 -17 ตุลาคม 4 วัน 3 คืน ณ นานมีบุ๊คส์ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ ซับใต้ เขาใหญ่ แคมป์นี้รับสมัครเด็กอายุ ตั้งแต่ 10-15 ปี ค่าลงทะเบียน คนละ 5,950 บาท สมาชิกนิตยสาร โก จีเนียสรับส่วนลดพิเศษ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ สนใจสมัครได้ที่ โทร 02-662-3000 กด 1 ดูรายละเอีดยได้ที่ www.Nanmeebooks.com

ซัมเมอร์คอร์สไฮเทค

เตรียมเก็บเงินกันแต่เนิ่น ๆ สำหรับครอบครัวที่มองหาซัมเมอร์คอร์สต่างประเทศให้กับลูก เมื่อมีซัมเมอร์คอร์สแนวใหม่ Lifestyle learning summer course ที่เน้นเส้นทางหลัก 3 ประเทศคือ ฝรั่งเศส อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ โดยมีทั้งการเรียนรู้ชีวิตนอกห้องเรียนควบคู่ไปกับการเรียนภาษา ส่วนการเดินทางทุกเส้นทางจะเน้นใช้ระบบขนส่งมวลชนอันทันสมัยของแต่ละประเทศเป็นหลัก ทั้งทางเรือ ทางรถขนส่งมวลชน และรถไฟ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมแค้มปิ้ง การทำอาหารแบบตะวันตก รวมถึงการเรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรม ตามแกะรอยภาพยนตร์ดัง ๆ เช่น Gladiator, The Davinci Codeหรือ Angel & Demon เอาไว้อีกด้วย

สำหรับพ่อแม่ท่านใดที่เป็นห่วงบุตรหลาน คอร์สนี้ยังเตรียมการติดต่อสื่อสารออนไลน์ ทั้งแบบเรียลไทม์และผ่านเว็บไซต์ รวมถึง Social Network เช่น Twitter, facebook และ Video Call ผ่าน Skype, msn หรือ yahoo พร้อมทั้งเครื่องมือสื่อสารระบบ 3G ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อแม่และผู้ปกครองได้อยู่ร่วมกับลูกๆ หรือเด็กๆ ในทุกๆ วัน สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/columbusClub
จบจากสารพัดกิจกรรมแล้ว ยังมีข่าวจากหน่วยงานบ้านใกล้เรือนเคียงมาฝากกันด้วยค่ะ เมื่อทางโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ จัด “Samitivej Dentist @ Your School” โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมส่งเสริมให้เด็กๆ มีสุขภาพฟันดีแข็งแรง ครั้งนี้ส่งทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมพยาบาลลงพื้นที่ตรวจสุขภาพฟันและสาธิตการแปรงฟันที่ถูกวิธีให้กับเด็กนักเรียน เปิดตัวโครงการและเริ่มต้นทำกิจกรรมที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง(ประถม) เมื่อวันที่ 1 – 2 กันยายน ที่ผ่านมา ส่วนโครงการห้องเรียนพ่อแม่ ซึ่งจัดขึ้นโดยกรุงเทพมหานคร ได้รับความสนใจจากบรรดาพ่อแม่และผู้ปกครองล้นหลาม มาเข้าร่วมงานกว่า 2,400 คนกันเลยทีเดียว

เมื่อสร้างเด็กให้ดีแล้ว ก็ยิ่งต้องขอบคุณหากจะมีกิจกรรมส่งเสริมความดีนั้นอย่างต่อเนื่องกับกิจกรรมการตอบปัญหาวิชาการทางพระพุทธศาสนาที่จัดขึ้น ณ อาคารธรรมสถาน มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย ศาลายา จ.นครปฐม โดยผู้ชนะเลิศได้แก่ ด.ช.รณกร ศรีสุวรรณ์ และด.ช. คมกริช ตั้งสุข ชั้น ป.6 โรงเรียนโสมาภา

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเด็กดี ๆ อีก 3 คนที่ไปแข่งตอบปัญหาธรรมะแล้วชนะเลิศมาเช่นกัน ได้แก่ ด.ช.อุบล โกมุท นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้รับรางวัลชนะเลิศตอบปัญหาธรรมะในกิจกรรมศรีบุญเรืองรวมใจ ครั้งที่ 8 ด.ช.กิตติธัช ตั้งสกุล นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และด.ช.ปวุต ชวบุรินทร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้รับรางวัลชนะเลิศในงานสามเณรรำลึกพระคุณแม่ ปีที่ 9 ทั้งหมดจากโรงเรียนโสมาภาเช่นกันค่ะ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

โรคกระดูกเปราะในเด็กเล็ก

'โอไอ' โรคกระดูกเปราะกรรมพันธุ์


ในคนปกติถ้าเดินสะดุดหกล้มอาจแค่ ผิวหนังถลอกปอกเปิก แต่ถ้าเป็นโรคกระดูกเปราะกรรมพันธุ์ (Osteogenesis imperfecta) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “โอไอ” อาจถึงขั้นแขนขาหักได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.พรชัย มูลพฤกษ์ หัวหน้าหน่วยเด็ก ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหา วิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า โรคกระดูกเปราะกรรมพันธุ์ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็พบอยู่เรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เด็กมักจะได้รับยีนที่ผิดปกติจากพ่อหรือแม่ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นโรคนี้โดยไม่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมาก่อน

โรคโอไอเกิดจากเซลล์สร้างกระดูกที่เรียกว่า ออสติโอบลาส (Osteoblast) ทำงานผิดปกติ โดยออสติโอบลาสมีหน้าที่สร้างคอลลาเจนในกระดูกทุกแห่งในร่างกายรวมทั้งเนื้อเยื่อบางจุด เมื่อออสติโอบลาสทำงานผิดปกติก็จะสร้างคอลลาเจนที่ไม่แข็งแรง ทำให้กระดูกเปราะ แตก หักง่าย โดยเฉพาะบริเวณแขนและขา

ชนิดรุนแรงมาก คือ กระดูกหักตั้งแต่อยู่ในครรภ์ซึ่งอาจทำให้ทารกเสียชีวิตได้ หรือทำให้คลอดลำบาก เมื่อคลอดออกมาแล้วทำให้มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ส่วนอีกกลุ่มจะค่อย ๆ หัก คือ เมื่อคลอดออกมาแล้วกระดูกอาจจะยังไม่หัก แต่อาจสังเกตเห็นลักษณะที่ผิดปกติ เช่น กระดูกขา หน้าแข้งโค้งงอ และมีการหักตามอายุและการเคลื่อนไหว ยิ่งหักบ่อยกระดูกจะยิ่งงอ ผู้ป่วยอาจมีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตัวเตี้ย ตากลม ๆ รูปหน้าแบน ๆ กว้าง ๆ ตาขาวจะเป็นสีฟ้าหรือ สีเทา เสียงแหลมผิดปกติ เนื่องจากโครงสร้าง คอลลาเจนในลูกตาสูญเสียการทำงาน ฟันจะหักง่าย สีของฟันจะเป็นสีเหลืองออกน้ำตาล

สำหรับผู้ป่วยโอไอที่ยังมีชีวิตอยู่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกเป็นรุนแรง กระดูกหักตั้งแต่เกิด โอกาสจะมีชีวิตยืนยาวไม่เกิน 20 ปี ส่วนอีกกลุ่มเป็นปานกลางหรือเป็นน้อย ถ้าได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ดีในระดับหนึ่งใกล้เคียงกับคนปกติ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง กระดูกหักไม่บ่อย รักษาแล้วผู้ป่วยสามารถเดินเหินได้ แต่ผู้ป่วยบางคนรักษายังไงก็ต้องเสียชีวิตและเดินไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อไม่แข็งแรง

การรักษาในปัจจุบันมีทั้งการใช้ยาเพื่อ ช่วยสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น การผ่าตัด และทำกายภาพบำบัด ในช่วงที่กระดูกหักต้องทำการใส่เฝือก ผู้ป่วยกลุ่มนี้กระดูกหักง่ายก็จริงแต่กระดูกติดเร็ว อัตราการติดกันของกระดูกจะเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไปเมื่อกระดูกที่หักติดกันแล้วต้องรีบเอาออก เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวได้เร็ว เพราะการใส่เฝือกบ่อย ๆ ข้อแขนและขาจะติดแข็งได้ง่าย

รศ.นพ.พรชัย กล่าวต่อว่า การผ่าตัดรักษาจะต้องพิจารณาหลายอย่าง สิ่งสำคัญคือ คนป่วยจะต้องไม่ทนทุกข์ทรมาน ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถเดินได้แน่นอน ต้องพิจารณาว่าการผ่าตัดจะเกิดประโยชน์หรือไม่ ถ้าการผ่าตัดทำให้ คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้นแพทย์จึงจะตัดสินใจผ่าตัดให้

อย่างไรก็ตามการผ่าตัดในผู้ป่วยเด็กที่กำลังมีพัฒนาการ กำลังหัดเดิน หรือหัดยืน ต้องชั่งใจให้ดีเนื่องจากเด็กต้องใส่เฝือกระยะหนึ่ง การใส่เฝือกอาจทำให้พัฒนาการของเด็กที่กำลังจะเดินและยืนเสียไป ดังนั้นอาจจะต้องยอมให้เด็กเดินหรือยืนไปก่อนหลังจากนั้นค่อยมาทำการผ่าตัด.


ที่มา
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
http://ramaclinic.ra.mahidol.ac.th/healthnews/hnews0062.html

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

คุณแม่เป็นแม่ที่หลายรูปแบบ

เรื่องของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน
ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

“แม่” คำสั้นๆคำนี้ เป็นคำที่มีความหมายยิ่งใหญ่มากมาย ทั้ง ความรัก ความเสียสละ ความสุข ความทุกข์ความเศร้า ความเจ็บปวด ความชื่นชมยินดี และอีกมากมาย แม่เป็นคำที่บ่งถึงความสัมพันธ์อันอบอุ่นลึกซึ้งระหว่างผู้หญิงกับลูก หรือหมายถึงผู้มีพระคุณผู้ให้กำเนิด ให้น้ำนม เลี้ยงดู ปกป้อง ดูแลให้ความรัก คำที่ลูกพูดออกเสียงเป็นคำแรกส่วนใหญ่จะเป็นคำว่า แม่ นั่นแสดงให้เห็นถึงความรักความผูกพันของลูกที่มีผู้ใกล้ชิดที่สุดคือแม่

งานที่หนักที่สุดไม่มีเวลาพักผ่อน ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่สามารถลาออกได้เห็นจะเป็นงานที่เรียกว่า แม่ จากสถิติพบว่าผู้หญิงท้องประมาณ 211 ล้านคนต่อปีและประมาณ 20-30% ทำแท้ง ลูกที่เกิดมาดูโลกมีทั้งหมดประมาณ 134 ล้านคนต่อปี

จากงานวิจัยของไทยพบว่าสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของลูกที่ดีในทัศนะของแม่ คือแม่อยากให้ลูกเชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย รองลงมาคือมีความขยัน ตั้งใจเรียน / ทำงาน ส่วนคุณสมบัติของแม่ที่ดีในทัศนะของแม่คือให้ความรัก ความอบอุ่นแก่ทุกคนในครอบครัว รองลงมาคือเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก

จากทีมงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford พบว่าเด็กที่สูญเสียแม่ก่อนอายุ 15 ปี เด็กจะค่อนข้างเตี้ย และเรียนอ่อนมากกว่าเด็กที่อยู่กับแม่จนอายุถึง 15 ปี จากการศึกษายังพบอีกว่าเด็กกำพร้าที่ขาดแม่จะตัวเตี้ยกว่าเด็กปกติ 2 เซนติเมตร มีปัญหาออกจากโรงเรียนก่อนการเรียนจบและ 8.5 % ประสบกับความยากจนในชีวิต

มีผู้คนมากมายจากหลายความคิดและหลายประสบการณ์บอกว่าแม่เป็น.........

1. คุณแม่เป็นนักลงทุนที่ไม่คิดถึงผลกำไร ถึงแม่รู้ว่าจะต้องขาดทุนแต่ก็ยอมลงทุนทั้งใจและกาย แม่ไม่อยากได้เงินทองหรือสิ่งนอกกายอื่นๆที่เสียไปกับเราคืนแม้แต่นิดเดียว คงไม่มีนักธุรกิจคนไหน ยอมลงทุนกับสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถคืนมาได้ นอกจากแม่

2. คุณแม่เป็นผู้เสียสละ มีลูกคนหนึ่งเกิดมาพิการไม่มีหู ผู้เสียสละบริจาคหูให้ลูกแต่ไม่ได้บอกลูกจนวันตายได้คือแม่นั่นเอง

3. คุณแม่เป็นผู้ให้ จำได้ว่าวันไหนบ้านเราไม่มีสตางค์ แม่จะเป็นคนกินข้าวคนสุดท้าย

4. คุณแม่ผู้ไม่เคยทอดทิ้ง เวลามีแฟน แฟนยังทิ้งเราได้แต่แม่ไม่เคยทิ้งเรา แต่อยู่เคียงข้างเราเสมอ

5. คุณแม่ขี้แย มีคนบอกว่าจำได้ว่าวันที่แม่ร้องไห้คือวันที่เราเกิดมา วันที่เราโดนหมากัด วันที่เรารับปริญญาและวันที่เราแต่งงาน

6. คุณแม่ผู้ไม่เคยยอมแพ้ แม้ว่าแม่จะเกิดมาขาพิการ แต่แม่เก็บเล็กผสมน้อย เก็บขยะและเศษวัสดุเหลือใช้ เลี้ยงเรามาจนโตทั้ง 4 คน

7. คุณแม่เป็นช้าง ม้า วัว ควาย หมูและอื่นๆมากมาย จำได้ว่าเล่นขี่ม้าส่งเมืองเมื่อตอน 3 ขวบสนุกที่สุดเลยตอนขี่หลังแม่

8. คุณแม่เป็นถังขยะ เวลาลูกไม่สบายใจอะไรจะมาเล่าให้แม่ฟัง เวลาโกรธอะไรก็มักจะมาระบายกับแม่ แม่จะเป็นคนคอยปลอบใจเสมอ

9. คุณแม่ยอมเป็นคนอ้วนพุงโต แบกเรามาตั้ง 9 เดือน แต่เรายังไม่เคยแบกแม่สักที

10. คุณแม่เป็น ฯลฯ คุณแม่เป็นได้ทุกอย่างที่จะทำให้ลูกมีความสุข

มีคนเขียนคำจำกัดความของคำว่าแม่ไว้มากมาย และมีคนที่แต่งบทกวี และเพลงที่กล่าวถึงพระคุณแม่ไว้อย่างมากมายด้วยเช่นกัน แต่ใครจะตอบแทนพระคุณของแม่ได้นอกจากลูกของแม่เอง จำไว้ว่าไม่มีใครรักเราเท่าแม่ จะมีบ้างไหมที่บอกว่า ไม่มีใครรักแม่เท่าลูกบ้าง วันแม่ปีนี้เราทำอะไรเพื่อแม่หรือยัง?

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

พึงระวัง "ของเล่น" บล็อกความคิดลูก!

พึงระวัง "ของเล่น" บล็อกความคิดลูก!

เมื่อสังคมเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญทางเทคโนโลยี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อะไรๆ สมัยนี้ได้กลายเป็นของไฮเทคไปหมด แม้แต่กระทั่งของเล่นสำหรับเด็ก หลายอย่างได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นของเล่นอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ซึ่งบางครอบครัวเชื่อว่าของเล่นเหล่านี้ สามารถกระตุ้นสมองของลูกได้

หากแต่ในความเป็นจริง การปล่อยให้ลูกอยู่กับของเล่นดังกล่าวมากเกินไป ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการของเด็กอาจถูกตีกรอบให้แคบลงได้

ในเรื่องนี้ เคยมีรายงานการศึกษาของ ปีเตอร์ สมิท ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาของโกลด์สมิทส์ คอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอน และนักโภชนาการ ราเชล บิกกินส์ ออกมาเตือนว่า ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้า สามารถครอบงำสมองเด็กได้ เพราะเด็กตอบโต้กับสถานการณ์ที่สร้างขึ้นโดยคนอื่น มีผลต่อความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ทำให้โอกาสในการคิดค้นการละเล่นของตัวเองลดลง ซึ่งเท่ากับว่าความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการถูกตีกรอบให้แคบลงนั่นเอง

สอดรับกับบทสัมภาษณ์ของ รศ.ดร.จิตตินันท์ เดชะคุปต์ ผู้ เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก สาขาวิชามนุษยนิเวศศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ที่เคยให้ไว้กับทีมงานในประเด็นเดียวกันนี้ว่า พ่อแม่บางคนที่ปล่อยให้ลูกเล่นแต่ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์ หรือเกม เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกข้ามขั้นของพัฒนาการตามวัยที่ควรจะเป็น ส่งผลให้เด็กโตขึ้นไม่มีภาพความคิด และพื้นฐานข้อมูลในทักษะต่างๆ เพื่อประยุกต์เข้ากับสิ่งรอบตัว นอกจากนั้นยังทำให้เด็กสมาธิสั้นได้อีกด้วย

ด้าน แคทลียา พิรุณเกียรติ ผู้ จัดการฝ่ายการตลาด และการขาย บริษัทวันเดอรเวิล์ด โปรดัคส์ ผู้ผลิต และจำหน่ายของเล่นไม้เสริมพัฒนาการเด็ก ให้ความเห็นตรงกันว่า รูปแบบของเล่นในตลาดมีความหลากหลาย และถูกผลิตให้มีความไฮเทค จนกลายเป็นของเล่นสำเร็จรูปมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เล่นอย่างอิสระ เพราะของเล่นดังกล่าว ไม่ได้ทำให้เด็กได้คิดต่อ เนื่องจากถูกตั้งโปรแกรมการเล่นไว้หมดแล้ว


ดังนั้น ในฐานะที่เธอเป็นตัวแทนผู้ผลิตของเล่นเด็ก และต้องทำงานร่วมกับจิตแพทย์ และกุมารแพทย์ในการผลิตของเล่น การเลือกของเล่นให้กับลูก เธอให้แนวทางพ่อแม่ว่า ต้องดูที่ความปลอดภัย และเลือกให้เหมาะสมตามวัยของลูก โดยดูที่ข้างกล่องของเล่น ที่สำคัญควรเน้นวัสดุที่มาจากธรรมชาติ ไม่บล็อกความคิดเด็กเหมือนกับของเล่นไฮเทค หรือของเล่นอิเล็กทรอนิกส์บางอย่าง

อย่าง ไรก็ดี ของเล่นประเภทไม้ ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีในการเล่นของลูก สอดรับกับผลวิจัยหลายๆ ชิ้นที่บอกว่า ของเล่นไม้ ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ไม่บล็อกความคิดเด็ก อีกทั้งเป็นตัวฝึกกล้ามเนื้อมือ และให้ความรู้สึก และอารมณ์ด้านบวกกับเด็กได้เป็นอย่างดี เช่น ความอ่อนโยน เพราะเป็นวัสดุที่ทำมาจากธรรมชาติ

"พ่อ แม่ต้องเข้าใจว่า การเล่นของลูก ต้องให้เป็นไปตามขั้นตอน โดยเฉพาะเด็ก ถ้าให้ลูกได้เล่นของเล่นที่เหมาะสมกับวัย โดยไม่มีการตั้งโปรแกรมให้มากเกินไป เด็กก็จะมีอิสระในการเล่น และการคิด เช่น ตัวต่อไม้ที่เด็กจะต่อเป็นอะไรก็ได้ ต่างกับของเล่นสำเร็จรูปบางอย่าง เด็กจะเล่นในขอบเขตที่จำกัด เพราะถูกตั้งโปรแกรมให้เล่นได้แค่นั้น ทำให้เด็กไม่ได้ใช้ความพยายาม หรือใช้ความคิดต่อว่า ควรจะเล่นแบบไหนได้อีก หรือควรจะสร้างเรื่องราวอย่างไรจากของเล่นชิ้นดังกล่าว ซึ่งพ่อแม่ต้องเลือกให้เป็น เพื่อให้ตัวเลือก และตัวช่วยอย่างของเล่นเข้ามาเสริมพัฒนาการ และจินตนาการของลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ" ตัวแทนผู้ส่งออกของเล่นรายนี้เผย

ทั้ง นี้ เธอได้ฝากเพิ่มเติมว่า ของเล่นบางชนิดเด็กสามารถเล่น และเรียนรู้เองได้ ในขณะที่บางอย่าง เด็กต้องเข้าใจกลไกการเล่นด้วย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพราะของเล่นจะผลิตออกมาโดยมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน ซึ่งพ่อแม่ต้องเป็นไกด์คอยสอนวิธีการเล่นให้ลูก

"การ ให้ลูกเล่นของเล่น ไม่ใช่เป็นการเสียเวลา แต่เป็นสิ่งคุ้มค่าที่เด็กๆ จะได้เล่นตามธรรมชาติของเด็ก ดังนั้นไม่ควรเน้นให้ลูกเรียน หรืออยู่กับตำราเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้เด็กได้เล่นอย่างเต็มที่ และเหมาะกับวัย เพื่อให้เด็กได้เติบโตอย่างมีศักยภาพ และมีทักษะรอบด้าน" ตัวแทนผู้ส่งออกของเล่นรายนี้ให้แนวทาง

ฉะนั้น แทนที่จะปล่อยให้ลูกเล่นของเล่นคนเดียว พ่อแม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกด้วย เพื่อให้เกิดการเล่นที่เข้าใจ เป็นการเชื่อมสายใยรักในครอบครัวที่ดี แต่การเข้าไปเล่นกับลูกนั้น พ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกได้เล่น และคิดอย่างอิสระ เพื่อให้ลูกได้ใช้ความพยายาม และความคิดสร้างสรรค์ โดยไม่ไปบล็อกความคิดในการเล่นของลูก

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์