วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

การเลือกซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูป

การเลือกซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูป

ยุคนี้ไม่ได้ผ้าขาวม้าขาดๆ ผ้าถุงเก่าๆ มาทำผ้าอ้อมแล้ว ทำให้คุณแม่สมัยใหม่ต้องซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปมาใช้กัน ก็เพื่อลูกรักของเรานั่นเองใช่ไหมละ

ข้อมูลในการเลือกซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูป
การเลือกซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักของเด็ก เพราะการเลือกซื้อผ้าอ้อมที่ถูกต้องจะเป็นการพัฒนาสมรรถภาพและพัฒนาการของเด็กอย่างต่อเนื่อง การใส่ผ้าอ้อมที่เหมาะสมกับสรีระของลูกน้อย จะทำให้ลูกน้อยเริงร่า สบาย สนุกสนาน มีชีวิตชีวา คล่องตัวในการเคลื่อนไหว นอนหลับสบาย ขนาดต่างๆเหล่านี้เป็นมาตรฐานในการเลือกซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปอย่างถูกต้อง:

ไซส์ S สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 3-8 กก.

ไซส์ M สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 6-11 กก.

ไซส์ L สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 9-14 กก.

ไซส์ XL สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 13-18 กก.

ไซส์ XXL สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักมากกว่า 16 กก.

การเลือกซื้อ
สำหรับทารกแรกคลอด ตัวผ้าอ้อมควรจะมีเอวที่ต่ำลงและต้องเว้นช่องสำหรับสายสะดือที่ยังไม่หลุด และทำให้บริเวณสะดือแห้ง ขณะเปลี่ยนผ้าอ้อม คุณพ่อคุณแม่ควรยกก้นของเด็กขึ้น อย่ายกที่ขาเด็กเพื่อป้องกันน้ำหนักของเด็กที่จะไปกดที่กระเพาะทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายได้

•ขนาดของผ้าอ้อมสำเร็จรูปตามวัยของลูกน้อยอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปนะคะ เพราะว่าเด็กแต่ละคนอาจจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าหรือว่าเล็กกว่าวัยของลูกน้อยเองก็ได้ ไม่เท่ากัน เด็กบางคน 3 เดือน เท่ากับเด็ก 7 เดือน เด็ก 8 เดือน อาจจะเล็กกว่าเด็ก 5 เดือน ก็ได้ การเลือกก็คือ คุณแม่ จะต้องดูที่น้ำหนักของลูกน้อย ที่ระบุไว้บนห่อของฉลากสินค้านั้นๆ สำหรับเด็กแรกเกิดที่สายสะดือยังไม่หลุด ก็ให้เลือกผ้าอ้อม new born ให้สายสะดือหลุดก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นไซต์ S คะ

•การระบายอากาศของผ้าอ้อมสำเร็จรูป จะมีส่วนช่วยไม่ทำให้ผิวลูกน้อยเกิดอาการแพ้ มาจากการที่ผิวอับชื้น เพราะการที่ลูกน้อยใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปนานๆ จะทำให้ผิวไม่โดนอากาศ ทำให้อับชื้น บริเวณขาหนีบ ร่องก้น การเลือกผ้าอ้อมที่ระบายอากาศได้ดีจะช่วยให้ผิวลูกน้อยสดชื่น ไม่อับชื้นคะ

•ความนุ่มผ้าอ้อมสำเร็จรูป จะช่วยลดอาการระคายเคืองของผิวลูกน้อย และยังช่วยลดอาการแพ้ของผิวเด็ก ทำให้ลูกน้อยสบายตัวมากขึ้น หลับสบายทั้งคืน

•ช่องดูดซับอุจจาระ ให้คุณแม่เลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีช่องดูดซับอุจจาระ เพราะว่าเด็กแรกเกิดจะถ่ายบ่อยและไม่เป็นเวลา การเลือกที่มีช่องดูดซับอุจจาระจึงมีความสำคัญมากค่ะ ขาดไม่ได้ ไม่งั้นผิวลูกน้อยจะไม่สบายตัว เกิดอาการแพ้ หรือเป็นผื่นขึ้นมาได้คะที่ก้นลูกน้อย ให้เลือกชนิดที่ไม่ไหลย้อนกลับ

•การออกแบบที่รองรับกับรูปร่างของลูกน้อย ให้คุณแม่เลือกให้เหมาะสมกับลูกน้อย อย่างเด็กแรกเกิดก็ต้องใช้ new born ขอบของผ้าอ้อมสำเร็จรูปจะทำให้เสียดสีกับสายสะดือของลูกน้อย ทำให้สายสะดือลูกน้อยอักเสบ ไม่สบายตัว การเลือกให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญคะ

•ราคา การเลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีคุณภาพดีในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ก็จะทำให้คุณแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมลูกน้อยได้บ่อยขึ้น ลูกน้อยก็จะได้สบายก้นไม่ต้องนอนแช่อุจจาระ ประหยัดทั้งคุณแม่และลูกน้อยก็สบายก้นด้วยคะ

•ความบาง หนา ของผ้าอ้อมสำเร็จรูป บางยี่ห้อ หนามากๆคะไม่เหมาะที่จะให้ลูกน้อยใส่ เพราะจะทำให้ลูกน้อยเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก และยังทำให้ขาลูกน้อยโก่งอีกด้วย

แถมด้วย

วิธีทำความสะอาดเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อม

เตรียมสำลีชุบน้ำสะอาด ครีม หรือขี้ผึ้งสังกะสี (Zine Paste) สำหรับทาป้องกันผิวหนังมิให้แฉะ เปื่อย-แดง เข็มกลัดผ้าอ้อม และถังใส่ผ้าอ้อมที่ใช้แล้ว ให้พร้อมไว้ถอดผ้าอ้อมที่เปียกออก

ใช้สำสีชุบน้ำเช็ดบริเวณก้นให้ทั่วรวมทั้งซอกขาหนีบ ทวารหนัก และอวัยวะขับถ่ายด้วย ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง ควรเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อจากทวารหนัก มาเปื้อนเปอระด้านหน้า ซึ่งมีท่อเปิดของท่อปัสสาวะ และช่องคลอดอยู่ จะทำให้เกิดการติดเชื้อทางระบบปัสสาวะ และหรือช่องคลอดถ้าผิวหนังแดงให้ทาด้วยวาสลินครีม หรือครีมสังกะสี หรือโลชั่นที่ใช้เพื่อป้องกันผิวอักเสบแต่ไม่ดีขึ้น หรือลุกลามอาจต้องปรึกษากุมารแพทย์

ใส่ผ้าอ้อมผื่นใหม่ติดเข็มกลัด หรือติดเทปให้กระชับจะได้เข้าที่ไม่หลุด เวลาเด็กเคลื่อนไหวตัว

*เข็มกลัดซ่อนปลายต้องใช้ชนิดที่ทำไว้กลัดผ้าอ้อมนะคะ



ที่มา
http://www.scoobedry.com/tips/
http://4newmom.blogspot.com/2010/04/blog-post_20.html
http://www.petsang.com

เตือนสติพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบ "เทพเจ้า"

เตือนสติพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบ "เทพเจ้า"


ปัจจุบันการเลี้ยงลูกมีหลายรูปแบบ แต่แบบหนึ่งที่คาบเกี่ยวระหว่างรักลูกกับทำร้ายลูก คือ การเลี้ยงลูกแบบเทพเจ้า เป็นการให้ความรักโดยมีทุกอย่างให้พร้อมสรรพ แต่กลับไม่เคยถูกดุ หรือถูกสอนให้เผชิญหน้ากับความยากลำบากเลย

การให้ความรักแบบฟุ้งเฟ้อนี้ พญ.ศศิธร จันทรทิณ กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็ก โรงพยาบาลศิริราช สะท้อนผ่าน ทีมงาน Life & Family ว่า เป็นการเลี้ยงลูกที่ไม่ผิด แต่การใช้ความรักทั้งหมดทุ่มเทเพื่อลูกอย่างเดียวคงไม่ได้ ซึ่งต้องมีขอบเขตควบคู่ไปกับวินัย และฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองเป็นด้วย มิเช่นนั้น ลูกจะเป็นคุณชายที่ทำอะไรไม่เป็น เก่งแต่ในบ้าน แต่อยู่ในสังคมนอกบ้านไม่ได้

"ลูกคือหัวใจ คือความรักที่เราทุ่มเทให้ได้ทุกอย่าง เพราะอยากเห็นลูกมีความสุข ซึ่งมันไม่ผิดหรอก แต่ทีนี้ความรักของพ่อแม่ต้องมีขอบเขตด้วย ถ้าเกิดให้ลูกดีหมดทุกเรื่อง เด็กก็จะไม่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ทำไปแล้วไม่ดีอย่างไรในสายตาคนอื่น ๆ" กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็กกล่าว

ดังนั้น กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็กท่านนี้เน้นย้ำว่า ไม่ผิดที่พ่อแม่จะให้ความรักกับลูกอย่างเต็มที่ แต่ความรักต้องควบคู่ไปกับข้ออื่น ๆ ด้วย เช่น การฝึกวินัย การช่วยเหลือตัวเอง เพื่อฝึกความมีระเบียบ ความอดกลั้น สู้กับปัญหา ล้มแล้วสามารถลุกยืนได้ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง เรื่องราวน่าหวาดหวั่นที่ลูกต้องพบไม่ได้ก้าวผ่านกันง่าย ๆ

"หากเด็กขาดวินัย และทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการอยู่ร่วมกับสังคม เด็กจะขาดความกล้า และความมั่นใจ เป็นเจ้าชายในบ้าน แต่เมื่อออกนอกบ้าน กลับไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองเลย เพราะมีพ่อแม่ทำให้ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งเข้านอน ตรงนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงมาก" กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็กเตือนสติพ่อแม่ที่รักลูกจนเกินเหตุ หรือเลี้ยงลูกแบบเทพเจ้า

อย่างไรก็ดี การฝึกวินัย และความเป็นระเบียบให้ลูกนั้น ไม่ใช่ฝึกเพื่อให้ถึงเป้าหมาย เแต่ช่วยให้ลูกสามารถช่วยเหลือตัวเอง และพัฒนาไปสู่เป้าหมายนั้น ๆ ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเริ่มฝึกได้ตั้งแต่ขวบปีแรก เช่น ฝึกให้กินนมเป็นเวลา นอนเป็นเวลา หลับเป็นเวลา นาฬิกาในตัวเด็กก็จะคงที่ ต่อยอดให้มีวินัยในเรื่องอื่น ๆ ตามมา

"เมื่อลูกถึงวัยที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ ควรให้ลูกทำ เช่น 2 ขวบ สามารถทานข้าวเองได้แล้ว ควรให้ลูกจับช้อนกินเอง เลอะเทอะไม่เป็นไร ค่อย ๆ สอนกันไป ควบคู่กับการทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง ถ้าสิ่งที่ลูกทำเสี่ยงต่ออันตราย แทนที่จะห้ามลูก พ่อแม่ควรเลือก และจัดสถานที่ที่ปลอดภัยให้แทน"

ทิ้งท้ายนี้ กุมารแพทย์จิตแพทย์เด็กสรุปให้ฟังถึงหลักการเลี้ยงลูกให้ดีสไตล์พ่อแม่ยุคใหม่ว่า ควรคำนึงหลัก 3 L คือ ความรัก (Love) ข้อจำกัด/กฎกติกา (limitation) และการให้ลูกเติบโตตามวัย ข่วยเหลือตัวเองได้ (Let them goal) นั่นหมายความว่า ความรักที่พ่อแม่มีให้ลูกต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม จากนั้นฝึกให้ลูกได้พบสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับปัญหา เพื่อเป็นเวทีให้เขาเรียนรู้ที่จะพ่ายแพ้ และเห็นทางออกในทุกปัญหา

ทั้งหมดข้างต้น ถือเป็นเรื่องที่พ่อแม่ยุคใหม่ควรพิจารณาให้ดี เพราะเด็กที่เห็นคุณค่าในตัวเองมากเกินไป ไม่เคยมีประสบการณ์แพ้ ชนะตลอด แข็งแรงต่อความสำเร็จของตัวเอง ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งมาจากการเลี้ยงลูกที่ถูกตามใจ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลเมื่อเด็กเกิดความล้มเหลว เมื่อล้มก็ล้มเลย ไม่สามารถผ่านพ้นไปได้



ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000010470

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

ลูกบ้านไหนกินยาก! ทางนี้มี 11 วิธีดึงเด็กกินง่าย

คุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่ลูกเป็นเด็กกินอาหารง่าย ต้องถือว่าโชคดีมาก เพราะบางท่านต้องทำใจให้เย็นทุกครั้งขณะป้อนข้าวลูก เนื่องจากลูกมักห่วงเล่น ชอบกินแต่นม หรือขนม จนไม่เคยกินอาหารหมดจานเลยสักที สร้างความหนักใจให้กับพ่อแม่หลาย ๆ ท่านเป็นอย่างมาก

วันนี้มีเทคนิคดึงลูกที่ไม่ชอบกินข้าวให้กินง่ายมาฝากกัน โดยเทคนิคนี้ คุณแม่เต๋อ-วีรนุช สุวัฒน์วงศ์ชัย ผู้เขียนหนังสือเมนูหนูน่าหม่ำได้ให้แนวทางไว้ 11 ข้อ จะมีวิธีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามจดพร้อม ๆ กันเลยครับ

1. กินข้าวกับตุ๊กตา

นำตุ๊กตาตัวโปรดมาวางข้าง ๆ ลูกน้อย สลับกับการป้อนข้าวทีละคำ พร้อมกับพูดว่า "เห็นไหม น้องจิงโจ้บอกว่าอร่อยมากเลย" หรือนำตุ๊กตามาวางล้อมจานข้าวเป็นวงกลม แล้วสมมติว่าป้อนข้าวให้ตุ๊กตาทีละตัวจนมาถึงลูกน้อย ลูกก็จะยอมกินแต่โดยดี และรู้สึกสนุกอีกด้วย

2. สร้างผักให้มีชีวิต

ถ้าอาหารมื้อนั้นมีผักชิ้นเล็ก ๆ ลองสมมติให้ผักมีชีวิต และพูดคุยกับลูก เช่น ถ้ามื้อนั้นมีเห็ดเข็มทอง คุณแม่ลองคุยกับลูกว่า "ฉันชื่อเห็ดเข็มทองตัวเล็ก ๆ ฉันอยากให้เธอลองกินฉันจัง เพราะฉันรักเธอ ฉันอยากให้เธอมีพลัง"

3. ชวนลูกชิมรสชาติ

ถ้าลูกยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจถึงประโยชน์ของผัก ลองเปลี่ยนไปเล่าเรื่องอื่นแทน เช่น ถ้ามื้อนั้นมีถั่วฝักยาว ให้สมมติผักเป็นสัตว์น่ารัก เช่น "นี่เป็นหนอนตัวน้อยก่อนจะกลายเป็นผีเสื้อนะ เธออยากรู้ไหมว่ารสชาติของฉันเป็นอย่างไร" หรือถ้ามีผักหลากชนิดในจาน ลองบอกกับลูกว่า ผักเหล่านี้เป็นสาหร่ายในทะเลลึก ฉีกให้ลูกลองกินทีละนิด แล้วให้ลูกบอกรสชาติว่าเป็นอย่างไร ช่วยให้ตื่นเต้น และสนุกกับการกินมากขึ้น

4. กินฉันหน่อย

ถ้าอาหารมื้อนั้นมีทั้งไข่เจียว และผัดผัก แต่ลูกเลือกไข่เจียวเพียงอย่างเดียว ให้บอกลูกขณะป้อนผักว่า "ฉันอยากเข้าไปอยู่กับไข่เจียวในปากของเธอได้ไหมจ๊ะ"

5. เลือกกินตรงไหนดี

ลองทำเมนูขนมปังรูปสัตว์ต่าง ๆ แล้วให้ลูกค่อย ๆ กินทีละส่วน เช่น "หนูอยากกินตรงไหนก่อน เริ่มจากหู หรือตาดีครับ/ค่ะ" วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกกับการกินอาหารในแต่ละมื้อ

6. อาหารแปลงกาย

ถ้ามื้อนี้คุณแม่ทำบะหมี่ให้ลูกรับประทาน ลองพูดคุยกับลูกว่า "วันนี้บะหมี่แปลงร่างเป็นทะเลให้คุณกระต่ายน้อยลองแล่นเรือไปเที่ยว หนูอยากรู้ไหมว่า ทะเลมีรสชาติเป็นอย่างไร มันมีรสเค็มเหมือนทะเลจริง ๆ หรือเปล่านะ"


7. มาเก็บดอกไม้กัน

ชวนลูกลองรับประทานผักต่าง ๆ ที่ประดับตกแต่งในจาน เช่น แครอทรูปดาว หรือดอกไม้ จากนั้นคุณแม่ชวนลูก ๆ มาเก็บดาวทีละดวง หรือเก็บดอกไม้ทีละดอก หรือถ้าเป็นรูปหัวใจให้บอกว่า "นี่คือหัวใจของแม่ หนูลองหม่ำดู อันนี้ของลูก เป็นอย่างไรคะ รสชาติเหมือนหัวใจของแม่ไหม แล้วหัวใจของคุณพ่อล่ะคะ เปรี้ยว เค็ม หรือหวานกันนะ"

8. ไม้ตาย คือไส้กรอก

เด็กส่วนใหญ่ชอบกินไส้กรอก และแฮม ซึ่งไม่ควรให้กินบ่อย เพราะมีสารก่อมะเร็งอยู่มาก แต่กระนั้นไส้กรอกก็ยังเป็นไม้ตายชั้นดีที่คุณแม่นำมาใช้ได้ เมื่อลูกกินอาหารน้อยเกินไป

9. ผักซ่อนตัวกับน้ำผลไม้แก้วโต

ถ้าลูก ๆ ไม่ชอบกินผัก หรือผลไม้เลย คุณแม่ต้องหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือทำให้นิ่มมาก ๆ แล้วซ่อนไว้ในช้อนข้าว เพื่อไม่ให้ลูกเห็น หรือให้ดื่มน้ำผลไม้คั้น หรือปั่นแทน

10. เกมเดาใจ

ก่อนทำอาหารมื้อเช้าในวันถัดไป ลองให้ลูกเดาใจคุณแม่ดูว่าจะทำอาหารเป็นรูปอะไร วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกตื่นเต้นกับการกินอาหารมากขึ้น

11. แปลงโฉมทุกวัน

คุณแม่ลองใช้วิธีตกแต่งแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กับอาหารในแต่ละมื้อ ให้ลูก ๆ โปรดปรานได้อย่างไม่รู้จบ ทำให้ลูกรู้สึกเหมือนได้กินเมนูใหม่ ๆ ทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่อยากให้คุณแม่ทุกท่านตระหนักไว้คือ คุณแม่ต้องเข้าใจเรื่องการทำอาหารให้ลูก ถ้าลูกไม่ชอบอาหารชนิดใด ไม่ควรบังคับฝืนใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาแล้วว่า ลูกมีร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เพราะเมื่อลูก ๆ โตขึ้น อาจเปลี่ยนใจมาชอบเองก็เป็นได้

นอกจากนี้ ควรให้โอกาสลูกเลือกอาหารที่ชอบด้วยตัวเอง เช่น มื้อนี้อาจเตรียมข้าวผัดไว้ แต่ถ้าลูกอยากกินผัดมะกะโรนี คุณแม่อาจต้องยอมเสียเวลาลงมือทำสักนิด แล้วจะได้เห็นลูกหม่ำอาหารจานนี้อย่างมีความสุขจนคุณแม่ต้องปลื้มใจอย่างแน่นอน


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000544

สุขภาพดีจุดเริ่ม "พัฒนาการรอบด้าน" ของลูกน้อย

สุขภาพดีจุดเริ่ม "พัฒนาการรอบด้าน" ของลูกน้อย


การเลี้ยงดูลูก เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ก็คงไม่ยากเกินความสามารถของเหล่าบรรดาคุณพ่อคุณแม่มากนัก ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ มือสมัครเล่น หรือมือโปร เพราะการเลี้ยงดูเด็กจะต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับการเจริญเติบโตของเขา พูดได้ว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องโตไปพร้อมๆ กับลูก โดยอาศัยการเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับลูกน้อย

ด้วยเหตุนี้ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร จึงได้จัดงานมหกรรมสุขภาพกรุงเทพมหานคร (Bangkok Health Fair) ขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมาภายใต้แนวคิด "ทั้งชีวิต...เราดูแล" โดยได้เนรมิตศูนย์การค้าเดอะมอลล์ บางแค ให้กลายเป็นศูนย์รวมนวัตกรรมและการให้ความรู้ทางการแพทย์ที่ครอบคลุม เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาใส่ใจดูแลและห่วงใยสุขภาพกัน โดยเฉพาะวัยเด็กที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

อย่างที่ทราบกันดีว่า เด็กๆ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต้องได้รับการฝึกทักษะพัฒนาการอย่างรอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสติปัญญา และด้านสังคม เห็นได้กิจกรรมในงานนี้ที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเด็กๆ อย่างครบถ้วน "น้องทอฝัน-สรัญญ์ภัทร์ เชื้ออภัย" ชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนเปรมประชาวัฒนา ที่จูงมือคุณแม่เข้าร่วมกิจกรรมในหน่วยกระตุ้นพัฒนาการเด็ก เธอเล่าให้ฟังว่า ได้มาตรวจสุขภาพและฝึกพัฒนาการต่างๆ ได้เล่นต่อจิ๊กซอประกอบภาพสัตว์และผลไม้ ทำให้ได้ฝึกการสังเกต ได้ระบายสี และได้ร่วมเล่นเกมกับเพื่อน ๆ ซึ่งปกติคุณแม่ก็จะชอบพาไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ นอกห้องเรียนอยู่ประจำ บางครั้งทำให้รู้สึกอารมณ์ดีและสนุกที่ได้เล่นอย่างอิสระ

การให้อิสระในการเรียนรู้สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่ดีให้กับเด็กๆ ได้ ฟังจากเสียงของ "น้องเฟรมมี่-ฐิติกานต์ ธนาคมตระกูล" ชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า ที่บอกว่า เธอสนุกกับกิจกรรมการฝึกระบายสีมาก นอกจากนั้นยังได้เรียนรู้การตรวจและดูแลสุขภาพ เนื่องจากคุณแม่พาทุกคนในครอบครัวมาตรวจสุขภาพด้วย "ที่บ้านของเราจะให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากๆ คุณแม่เคยสอนหนูอยู่บ่อยครั้งว่า ให้ทานข้าวเยอะๆ ทานผักเยอะๆ และเล่นกีฬาออกกำลังกาย เพราะร่างกายจะได้แข็งแรงและจิตใจก็แจ่มใสด้วย"


เช่นเดียวกับ 2 พี่น้องวัยซนอย่าง "น้องไครีน และน้องเคลี กุสุพลนนท์" วัย 8 และ 5 ขวบ ที่แม้ว่าพี่น้องคู่นี้จะเติบโตในต่างประเทศ แต่ก็ไม่มีปัญหาการเจริญเติบโต โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่เป็นหัวใจสำคัญของพัฒนาการต่างๆ

"พวกเรารับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ คุณแม่ชอบนำผักมาทำอาหารในรูปแบบต่างๆ ที่หน้าตาน่ากิน แถมยังอร่อยอีกด้วย โดยผักที่ชอบรับประทานมากเป็นพิเศษคือ เห็ด นอกจากจะชอบรับประทานผักและผลไม้แล้วเรายังชอบออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การว่ายน้ำ ที่ได้ทั้งความสนุกและทำให้สุขภาพที่แข็งแรงด้วย" พี่น้องวัยซนช่วยกันตอบ

นอกจากนั้น ยังได้รับคำแนะนำดีๆ จากบูธ "ชวนน้องกินผัก" ว่า การฝึกให้เด็กกินผักสามารถทำได้ไม่ยาก โดยสามารถเริ่มจากการให้เด็กๆ สร้างความคุ้นเคยกับผักนานาชนิดก่อน เช่น เล่นของเล่นที่เป็นรูปผักชนิดต่างๆ หรือเล่นตัวต่อที่เป็นรูปผักผลไม้ โดยต่อให้ตรงกับชื่อผักและผลไม้แต่ละชนิด หัดวาดรูประบายสีผักผลไม้ และอ่านนิทานที่ความรู้เกี่ยวกับคุณค่าและประโยชน์ของผักผลไม้

ขณะที่ "คุณแม่เคท กุสุพลนนท์" กล่าวเสริมว่า ปกติจะใส่ใจเรื่องสุขภาพของลูกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการในด้านต่างๆ ของลูก ซึ่งพ่อแม่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และควรตรวจเช็คสุขภาพของลูกอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ลูกเติบโตอย่างแข็งแรงสมบูรณ์และมีพัฒนาการที่ดีในทุกๆ ด้านอย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องสุขภาพร่างกาย "น้องมอส-สุรพิชญ์ บุญพรหม" ชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนสารสาสน์พัฒนา เล่าให้ฟังหลังเข้ารับการตรวจเช็คดูแลสุขภาพช่องปากว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะตอนแรกก็รู้สึกกลัวมาก แต่พอให้คุณหมอตรวจดูก็พบว่ามีฟันผุอยู่บ้าง จึงได้รับคำแนะนำให้แปรงฟันทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้ง ตอนเช้า และก่อนเข้านอน ไม่กินขนมหวานหรือลูกอม และไม่อมข้าว เพราะมันจะทำให้ฟันผุอีกได้ และเราก็จะอารมณ์ดีที่ไม่ต้องไปนั่งปวดฟันเหมือนคนอื่นๆ

เห็นไหมว่า การมีสุขภาพที่ดีจะนำไปสู่พัฒนาการที่ดีในทุกๆ ด้าน ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ของเด็กๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติ ฉะนั้น มาร่วมกันใส่ใจดูแลสุขภาพของคุณและลูกตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่สดใสในวันข้างหน้ากันนะค่ะ



ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000857

คุณลักษณะที่ดีของเด็กไทยในปี 2011

คุณลักษณะที่ดีของเด็กไทยในปี 2011
โดย ดร.แพง ชินพงศ์



เวลาเป็นสิ่งที่รุดไปข้างหน้าเสมอเพราะเผลอไม่นานปี2010ก็ได้ผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว และขณะนี้เป็นเวลาที่เริ่มศักราชของปีใหม่ปี 2011 เปรียบเหมือนกับสภาพสังคมของโลกปัจจุบันที่รุดหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสภาพของสังคมเช่นนี้ได้ส่งผลกระทบต่างๆมากมายต่อคนเรา โดยเฉพาะต่อเด็กๆซึ่งเป็นอนาคตของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในฐานะของคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง คุณครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ต่างก็มีความปรารถนาที่อยากจะให้ลูกหลานมีความพร้อมในทุกด้านเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยอยากให้มีคุณสมบัติที่พึงประสงค์ ทั้งมีความฉลาดใฝ่รู้ มีความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม มีความเป็นผู้นำ มีความคิดสร้างสรรค์และอื่น ๆ ผู้เขียนจึงขอนำเสนอถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กไทยในยุค 2011 ซึ่งมีดังนี้

1.เด็กไทยยุค2011ต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญในการดูแลให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรงโดยให้รับประทานอาหารครบทั้ง5หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คืออาหารจำพวกแป้งและข้าว โปรตีนคืออาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไข่ และนม ไขมัน คือไขมันจากพืช เช่นน้ำมันถั่วเหลือง และ ไขมันจากสัตว์ เช่นน้ำมันปลา วิตามินและเกลือแร่ซึ่งได้จากผักและผลไม้ต่างๆ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เขามีร่างกายที่แข็งแรง กระฉับกระเฉงและมีรูปร่างที่สมส่วนสมวัย

2.เด็กไทยยุค2011ต้องมีความภาคภูมิใจในตนเอง คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกรู้จักตนเองว่ามาจากครอบครัวแบบใด ให้รู้จักความเป็นมาของตัวเองและปลูกฝังให้ลูกมีความภาคภูมิใจในที่มาของตน เช่น เกิดมาในครอบครัวที่มีอาชีพอะไร มาจากจังหวัดอะไร อยู่ในประเทศที่มีวัฒนธรรมประเพณีอย่างไร โดยการที่คุณพ่อคุณแม่พูดคุยให้ลูกฟังถึงประวัติของบรรพบุรุษหรือเอารูปของปู่ย่าตายายให้ดู พาลูกไปพบปะพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากที่จะช่วยหล่อหลอมความเป็นตัวของตัวเองของเด็ก ซึ่งจะช่วยพัฒนาในเรื่องการสร้างความภาคภูมิใจและพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีให้เกิดขึ้นแก่ลูกได้

3.เด็กไทยยุค2011ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าพูด กล้าตั้งคำถาม ใฝ่รู้ กล้าทดลองค้นคว้าหาความจริงด้วยตนเอง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการใฝ่รู้ให้แก่ลูกได้โดยผ่านทางการหมั่นพูดคุยกับลูกและเปิดโอกาสให้ลูกได้มีโอกาสซักถามแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้การเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ เช่นกิจกรรมศิลปะ การเล่านิทาน การเล่นบทบาทสมมุติ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ช่วยในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของลูกได้เป็นอย่างดี

4.เด็กไทยยุค2011ต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คุณพ่อคุณแม่ต้องปลูกฝังกับลูกตั้งแต่ยังเล็กให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เข้าใจถึงระบอบการปกครองของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภูมิใจในความเป็นคนไทย ไม่ดูถูกวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมของความเป็นไทย โดยคุณพ่อคุณแม่ควรเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติไทย และพระมหากษัตริย์ไทยแต่ละพระองค์ให้เด็ก ๆ ฟัง อีกทั้งคุณพ่อคุณแม่ควรอบรมลูกให้มีความใกล้ชิดกับหลักธรรมทางศาสนาที่ครอบครัวนับถือตั้งแต่ยังเล็กเพื่อหล่อหลอมให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ดีงาม

5.เด็กไทยยุค2011ต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมประจำใจ คุณพ่อคุณแม่ควรอบรมให้ลูกเป็นคนที่มีคุณธรรมและจริยธรรมที่ดี โดยคุณธรรมและจริยธรรมที่ควรปลูกฝังนั้นคือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อันพึงเป็นที่ยอมรับของสากลโลก ซี่งได้แก่ ความรักและความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ การไม่รังแกหรือเบียดเบียนผู้อื่น การให้และแบ่งปันต่อผู้อื่น ความซื่อสัตย์ทั้งความคิด การกระทำและคำพูด เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่พูดโกหกและไม่คดโกงผู้อื่น

6.เด็กไทยยุค2011ต้องมีจิตสาธารณะต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกมีจิตสาธารณะต่อสังคมตั้งแต่ยังเล็ก โดยการอบรมและปลูกฝังให้ลูกกระทำความดีเพื่อส่วนรวม เช่น การช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ได้แก่การฝึกให้ลูกรักษาความสะอาดของส่วนรวม เช่นไม่ทิ้งขยะลงบนพื้นถนนแต่ให้ทิ้งในถังขยะ รู้จักรักษาความสะอาดเวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะ ไม่เด็ดดอกไม้ใบไม้เล่น นอกจากนี้ในวันหยุดแทนที่คุณพ่อคุณแม่จะพาลูกไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าอยู่เป็นประจำ ก็อาจจะพาลูกไปเข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างจิตสาธารณะต่อสังคมให้แก่ลูก เช่นกิจกรรมปลูกป่า กิจกรรมเก็บขยะตามชายหาด

7.เด็กไทยยุค2011ต้องมีความเป็นสากล คุณพ่อคุณแม่ควรพัฒนาให้ลูกเป็นคนที่มีความเป็นสากล ทันสมัย รู้เท่าทันเหตุการณ์ของสังคมโลกยุคปัจจุบันและเข้าถึงความเจริญต่าง ๆ ของวิทยาการ เช่น เรื่องของคอมพิวเตอร์ เรื่องของระบบ3G มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการพึ่งพาตนเองและค้นคว้าหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อพัฒนาตนเองและสังคมได้ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกพูดได้มากกว่า1ภาษา เช่นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพสังคมโลกยุคปัจจุบันที่เป็นโลกสากลของการสื่อสารไร้พรมแดน

ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมและพัฒนาลูกของท่านให้มีคุณสมบัติครบทั้งเจ็ดข้อนี้ได้ ลูกของท่านก็จะเป็นเด็กไทยยุค2011ที่เติบโตขึ้นเป็นคนที่มีคุณภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาได้อย่างแน่นอน สวัสดีปีใหม่2011ผู้อ่านทุกท่าน

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000001257

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

รู้ทันซึมเศร้าหลังลูกคลอด! ก่อนคุกคาม "พ่อมือใหม่"

รู้ทันซึมเศร้าหลังลูกคลอด! ก่อนคุกคาม "พ่อมือใหม่"

เมื่อพูดถึงภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เป็นอาการที่คุณแม่หลาย ๆ ท่านรู้จักกันดี โดยเชื่อกันว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ ตลอดจนการรับบทหนักในการเลี้ยงลูก แต่ภาวะดังกล่าวไม่ได้เกิดเฉพาะคุณแม่เท่านั้น แต่ยังเกิดกับคุณพ่อคนใหม่ที่อาจส่งผลกระทบถึงลูกได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ บอกผ่านทีมงาน Life & Family ว่า ภาวะซึมเศร้าหลังลูกคลอดของคุณพ่อเกิดขึ้นได้ไม่มาก โดยสาเหตุหลักเกิดจากความเครียดเรื่องงาน และความรับผิดชอบเรื่องลูกที่มีมากขึ้น ทำให้บางคนรู้สึกว่าต้องรับบทหนักรอบด้าน เกิดอาการหงุดหงิด ไม่อยากรับรู้ หรือรับผิดชอบใด ๆ จนนำไปสู่การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งรอบตัว

นอกจากนี้ ความไม่พร้อมในการมีลูก และภรรยาที่ขาดการดูแลเอาใจใส่สามี ยังเป็นปัจจัยหนุนนำให้คุณพ่อมือใหม่มีอาการซึมเศร้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะความไม่พร้อมในการมีลูก ทำให้ผู้ชายเกิดความเครียด และความกดดัน ไม่ว่าจะเรื่องลูก หรือเรื่องเศรษฐกิจในครอบครัว

"อาการในระยะเริ่มแรก หากสามารถรับผิดชอบในหน้าที่การงานได้ดี ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ถ้าซึมเศร้ามากขึ้นจนบางสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบเริ่มบกพร่อง เช่น ลูกร้องก็ไม่สนใจ หงุดหงิด ฉุนเฉียว ควบคุมตัวเองไม่ได้ อาจจะต้องได้รับการช่วยเหลือ และการบำบัดที่เหมาะสม เพราะไม่เช่นนั้น อาจนำไปสู่การอยู่คนเดียว ทำร้ายลูก และคิดสั้นฆ่าตัวตายได้" จิตแพทย์เผยถึงอาการ

ดังนั้น คุณพ่อคนใหม่ที่รู้ตัวว่ามีเรื่องต้องรับผิดชอบหลายอย่าง จิตแพทย์ท่านนี้ แนะนำว่า ควรหาผู้ช่วยในการเลี้ยงลูก หรือสลับเวลากับคุณแม่เพื่อหาช่วงพัก ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ควรพูดคุย และช่วยกันแก้ปัญหา หากไม่เป็นผล ควรหันมาปรึกษาญาติผู้ใหญ่ อย่าพยายามติดอยู่กับปัญหาเพียงลำพัง เพราะอาจเกิดความเครียดสะสมจนเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าในระดับที่รุนแรงได้

อย่างไรก็ดี ช่วงอายุของลูกมีผลต่อภาวะซึมเศร้าของคุณพ่อ โดยการศึกษาวิจัยในสหรัฐพบว่า พ่อมือใหม่ 10.4% เป็นโรคซึมเศร้าหลังลูกคลอด และ 25.6% จะเกิดอาการเมื่อลูกอายุ 3-6 เดือน นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาต่อว่า ใน 10,000 ครอบครัว เป็นเวลา 7 ปี คุณพ่อที่มีอาการซึมเศร้าในช่วงที่ลูกเป็นเด็กทารกจะทำให้เด็กมีปัญหาด้านอารมณ์ และพฤติกรรม โดยเด็กอายุ 3 ขวบ 5 เดือน มีแนวโน้มที่จะมีความผิดปกติทางจิต แม้ว่าอาการซึมเศร้าของพ่อจะหายไปแล้วก็ตาม

"พ่อแม่ที่มีปัญหาทางอารมณ์ จะส่งผลต่อสภาพจิตใจ และคุณภาพชีวิตของลูกไปด้วย ทางที่ดี ควรมีลูกเมื่อพร้อมทั้งสองฝ่าย เพราะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าได้มาก โดยเฉพาะความเครียดเรื่องลูก และเรื่องเงิน ทำให้รับมือกับทุกปัญหาได้ดี" จิตแพทย์ฝากทิ้งท้าย



ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000132

แม้ผิดหวัง..แต่ลูกของแม่ก็ยังยิ้มได้



บ่อยครั้งที่พบเห็นเด็กๆ ร้องไห้ฟูมฟาย บ้างก็ลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นโดยไม่สนใจใคร เพราะผิดหวังและเสียใจที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อยากได้ของเล่น อยากไปเที่ยว อยากนอน อยากกิน ฯลฯ แต่บางคนก็รู้สึกผิดหวังโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากยังไม่เข้าใจความต้องการของลูก

กับเรื่องนี้ พญ.ปริชวัน จันทร์ศิริ จิตแพทย์เด็กและอาจารย์ประจำภาควิชาจิตเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวให้ความรู้ว่า โดยส่วนใหญ่ความผิดหวัง จะเกิดขึ้นจากการเรามุ่งมั่นตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่กลับเกิดความผิดพลาดขึ้นและไม่ได้ดั่งใจ ในเด็กเล็กความต้องการนี้จะเรียกว่า "ความคาดหวัง" ซึ่งอยู่ในพื้นฐานของความจำเป็นต่อการใช้ชีวิต เช่น ความคาดหวังทางด้านร่างกาย เพราะเด็กทุกคนต้องการอาหาร ความเป็นอยู่ที่ปลอดภัย เสื้อผ้าสวมใส่ที่ให้ความอบอุ่นและสบายตัวแก่ร่างกาย รวมถึงความคาดหวังทางด้านจิตใจ เด็กๆ ต้องการการดูแลเอาใจใส่ที่อ่อนโยน ได้การยอมรับจากกลุ่มเพื่อนหรือพี่น้อง มีความรู้สึกว่าปลอดภัยและได้รับการปกป้องดูแลเป็นอย่างดี

อย่างที่บอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นความต้องการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต และเป็นสิ่งที่เด็กๆ คาดหวังเป็นอันดับแรกๆ ว่าจะได้รับ แต่ถ้าหากว่าเด็กไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ อาจจะส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะเด็กจะให้ความสำคัญกับความคาดหวังพื้นฐานมาก

ยกตัวอย่าง เช่น เด็กเล็กสมควรได้รับการดูแลให้ปลอดภัย แต่กลับไม่มีใครสนใจ ก็อาจจะทำให้เด็กๆ เกิดความหวาดระแวง หรือเด็กควรได้รับอาหารที่ครบ 3 มื้อ แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น เด็กๆ จึงรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ หรือเด็กบางคนอาจจะถูกใช้ความรุนแรง ทั้งการทุบตีและคำพูด เช่น ถูกตำหนิจนทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่รักของคนอื่น ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กรู้สึกผิดหวังได้

ทั้งนี้ พญ.ปริชวันยังบอกอีกว่า ยังมีความคาดหวังที่อยากได้อยากมี ซึ่งเป็นความต้องการที่เพิ่มเติมจากความต้องการพื้นฐานในการใช้ชีวิต เช่น เด็กบางคนเห็นเพื่อนเรียนเก่งสอบได้คะแนนมาก ก็อยากได้อยากเป็นอย่างเขาบ้าง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้มีผลการเรียนที่แย่เลย หรือการเล่นเกมก็อยากจะเอาชนะเพื่อนๆ ในกลุ่ม พอชนะมันก็เกิดความภูมิใจว่า "ฉันเก่งและมีความสามารถมากกว่าคนอื่น" หรือเด็กบางคนอยากได้ของเล่นชิ้นนั้นมาก ทั้งๆ ที่บ้านก็มีของเล่นอยู่หลายชิ้น หากไม่ได้ก็กลับไปเล่นของเล่นชิ้นเดิมได้

ขณะเดียวกัน ถ้าความคาดหวังอยากได้อยากมีบางอย่างได้รับการตอบสนองจะไม่ส่งผลกระทบกับเด็กมากมาย หากเด็กๆ มีพื้นฐานที่ดีจากความคาดหวังหรือความต้องการพื้นฐานในการใช้ชีวิตแล้ว เขาจะเข้าใจและสามารถยอมรับได้ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาไม่ได้รับการตอบสนองหรือผิดหวังกับความต้องการทั้ง 2 แบบที่กล่าวมา เด็กคนนั้นอาจจะกลายเป็นคนขี้ระแวง รู้สึกกังวล กลัว ไม่มั่นคง รู้สึกไม่ปลอดภัย รู้สึกว่าไม่อยากเป็นมิตรกับคนรอบข้าง ไม่ไว้ใจใคร ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกเศร้าและท้อแท้เมื่อเกิดความผิดหวัง บางคนถึงขึ้นคิดฆ่าตัวตาย



ขอบคุณภาพประกอบจาก http://google.co.th


จิตแพทย์เด็กท่านนี้ บอกว่า ความผิดหวังจะรุนแรงมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความกดดันของสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น เมื่อเด็กพยายามทำคะแนนให้ได้มาก แต่ด้วยความที่เรียนไม่เก่ง จึงถูกปฏิเสธจากกลุ่มเพื่อน หรือถูกตำหนิจากพ่อแม่ เด็กก็จะกดดันและคิดว่าไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ

"การผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กได้รับกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้เขาใช้ชีวิตไม่มีความสุข พัฒนาการก็ไม่เจริญเติบโตไปตามวัย และเขาจะไม่สามารถปรับอารมณ์และประคับประคองชีวิตให้มีความสุขได้ เพราะมีปัญหาด้านพฤติกรรมและอารมณ์ ไม่สามารถเชื่อมความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ซึ่งไม่แตกต่างจากคนที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็กๆ เพราะต้องดิ้นรนสู้ชีวิตด้วยตัวเอง เติบโตมาด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะมีท่าทีไม่เป็นมิตรกับคนอื่น ไม่ไว้วางใจคนอื่น หวาดระแวงตลอดเวลา ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่มีความรู้สึกว่าอยากทำอะไรเพื่อคนอื่น เพราะไม่เคยมีใครทำอะไรให้รู้สึกดี บางคนกลายเป็นเด้กก้าวร้าวในสายตาคนอื่น" พญ.ปริชวันอธิบาย

อย่างไรก็ดี คุณหมอแนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่ควรตอบสนองความต้องการพื้นฐานของลูกให้ดีก่อน เพราะถ้าเด็กมีความสุข ได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ที่คอยมอบให้เขา ถ้าเขาผิดหวัง เขาก็จะไม่เสียใจหรือท้อแท้มากนัก หากเด็กยังไม่เข้าใจ คุณพ่อคุณแม่ควรบอกลูกว่า "พ่อกับแม่ไม่สามารถซื้อของเล่นชิ้นนี้ให้ลูกได้ แต่พ่อกับแม่ยังรักลูกเสมอ" หรือบอกเขาว่า "อันนี้เล่นไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ใช่ของที่ทำมาเพื่อให้เด็กเล่น" แล้วก็บอกเขาด้วยว่า "แม่รู้ว่าลูกเสียใจและอยากจะได้มัน แต่มันไม่ได้จริงๆ " หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็กอดให้กำลังใจกับเขาว่า "ไม่เป็นไรนะลูก"

ถึงตอนนั้น ถ้าเด็กๆ รู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ของเล่น แต่เขาจะรู้ได้ว่าเขายังมีความรักอยู่ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะช่วยให้เด็กๆ เป็นคนที่มีเหตุมีผลมากขึ้น ไม่เอาแต่ใจ และเขาจะยอบรับกับความผิดหวังอย่างเข้าใจและมีความสุข

"สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูก เมื่อเขาเจอกับความผิดหวังและเสียใจ สอนให้เขารู้จักแยกแยะว่าสิ่งไหนเป็นความต้องการที่จำเป็น และสิ่งไหนเป็นความต้องการที่ได้มาเพื่อทำให้เกิดความสบายใจ ถ้าไม่มีหรือไม่ได้ครอบครองก็ไม่ได้ทำให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น เราก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างเหมือนปกติ เด็กๆ ก็จะเข้าใจและยอมรับกับความผิดหวังที่เกิดขึ้นได้ อีกอย่างต้องบอกว่า สิ่งที่จะได้มานอกเหนือจากความต้องการที่จำเป็นมันอาจจะไม่มีคุณค่าเลย ถ้าเราได้มาโดยสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ฉะนั้นคุณค่าที่แท้จริงของเราคือ การเป็นคนดี มีจิตใจที่อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่า" พญ.ปริชวันทิ้งท้าย


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000108