วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

3 เทคนิคง่าย ๆ เพิ่มพลังสมองลูกน้อย

3 เทคนิคง่าย ๆ เพิ่มพลังสมองลูกน้อย

คุณพ่อคุณแม่ ที่มีลูกน้อยอยู่ในวัย 2 - 3 ขวบ และมีโอกาสได้เห็นพัฒนาการด้านต่างๆ ลูกน้อย เช่น สามารถนับเลขได้ สามารถ matching บล็อกไม้ให้ถูกต้องตามรูปทรงเรขาคณิต ก็อาจรู้สึกภูมิใจในความสามารถของลูกน้อย แต่คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่าลูกน้อยของคุณยังสามารถพัฒนาศักยภาพไปได้อีกระดับหรือที่เรียกว่า “ความฉลาดระดับสูง”

ความฉลาดระดับสูงเกิดจากกระบวนการเรียนรู้อันประกอบไปด้วย สมาธิ ความจำ การคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองส่วนหน้า มีบทบาทในการควบคุมความสนใจ การดึงข้อมูลที่บันทึกไว้ ความมีเหตุผล การสลับสับเปลี่ยน รวมไปถึงการวางแผนและตัดสินใจ สามารถประมวลผลข้อมูลเพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ซับซ้อน เช่น ความเข้าใจด้านภาษา การมีเหตุผล และการแก้ปัญหา

คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตุความฉลาดระดับสูงของลูกน้อยจากสถานการณ์ง่ายๆ เช่น ให้ลองยื่นดินสอสีเทียนให้ลูกน้อยและขีดเขียนให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง ลูกน้อยจะเกิดการเรียนรู้ว่าการนำดินสอสีเทียนกดลงไปบนกระดาษจะทำให้เกิดสีออกมา จากนั้นให้คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนจากสีเทียนเป็นปากกาลูกลื่น และให้คุณพ่อคุณแม่กดที่หัวปากกาให้ปลายปากกายื่นออกมา แล้วลองยื่นปากกาให้ลูกน้อย หากลูกน้อยรู้จักวิธีแก้ปัญหาโดยการกดหัวปากกาขีดเขียนออกมาได้ นั่งแสดงให้เห็นว่า ลูกน้อยสามารถจดจำสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สาธิตให้ดู และคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาได้

จุดเริ่มต้นของความฉลาดระดับสูงเกิดขึ้นที่สมอง เพราะมีหน้าที่ควบคุมกลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ อารมณ์ความรู้สึก และกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ สมองประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนท้าย แต่สมองส่วนที่มีความสำคัญต่อการเพิ่มศักยภาพสมองของลูกน้อยนั่นเกิดขึ้นที่ ‘สมองส่วนหน้า’ เป็นส่วนที่มีความสำคัญมาก เพราะถือเป็นส่วนที่มีผลเกี่ยวข้องกับความสามารถทางสติปัญญาระดับสูง เปรียบเสมือนสมองส่วนผู้บริหาร (Executive Brain Function) ทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านความฉลาดระดับสูงหรือความฉลาดทางสติปัญญาที่มีผลต่อการคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งจะมีการพัฒนาการอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเด็กในวัยแรกเกิดถึงอายุ 3 ขวบปี

สำหรับสูตรลับ “เพิ่มพลังสมอง” ของลูกน้อยที่คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในด้านสมาธิ ความจำ การคิดวิเคราะห์ ที่นำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของสมองของลูก ทำได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

1. สมาธิ เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่สังเกตุว่าลูกสนใจอะไรเป็นพิเศษ แล้วปล่อยให้ลูกได้คลุกคลีกับสิ่งนั้นๆ เช่น ลูกชอบวาดรูประบายสี คุณพ่อคุณแม่อาจจัดหาดินสอสีและวาดให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วปล่อยให้ลูกวาดเลียนแบบตาม ลูกจะเกิดสมาธิจดจ่ออยู่กับการควบคุมกล้ามเนื้อมือให้ขีดเป็นเส้น หรือมุ่งมั่นอยู่กับการระบายสีเพื่อไม่ให้เกินขอบ





2. ความจำ คุณพ่อคุณแม่ควรปล่อยให้ลูกได้มีโอกาสแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง เช่น คุณพ่อคุณแม่คว่ำถ้วยสีทึบจำนวน 3 ใบแล้วครอบของเล่นให้ลูกเห็น จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนถ้วยทั้ง 3 สลับที่กันช้า ๆ และให้ลูกบอกว่าของเล่นอยู่ใต้ถ้วยไหน วิธีนี้ลูกจะได้เรียนรู้ทักษะการสังเกต จดจำ และการคิดจนสามารถรู้ว่าของเล่นอยู่ที่ไหน

3. การคิดวิเคราะห์ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยส่งเสริมให้ลูกเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรคตั้งแต่ยังเด็กด้วยวิธีการง่าย ๆ โดยคุณพ่อคุณแม่ใช้ของเล่นหลอกล่อให้ลูกเข้ามาหยิบ แล้วเมื่อลูกจะเอื้อมถึงจึงขยับของเล่นให้ไกลขึ้น หรือใช้แขนกั้นของเล่นไว้เพื่อให้ลูกไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ทั้งนี้เพื่อให้ลูกเรียนรู้ถึงวิธีแก้ปัญหาและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกิจวัตรประจำวันได้ เช่น การผูกเชือกรองเท้า การแต่งตัวเอง การแปรงฟันเอง เป็นต้น

นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถสนับสนุนศักยภาพเพิ่มพลังสมองของลูกน้อยได้อย่างง่ายๆ หลายวิธี ด้วยกิจกรรมสนุกๆ ที่ช่วยกระตุ้นฝึกสมาธิ ความจำ และการแก้ปัญหา อย่างเช่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะชวนลูกเล่นบล็อกไม้หรือจิ๊กซอว์ ของเล่นที่มีรูปทรงปลายเปิดหลากหลายรูปแบบ เช่น ทรงกลม ทรงเหลี่ยม ฯลฯ ที่จะช่วยให้ลูกได้ใช้สมอง ความคิด และช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาต่างๆ ของเด็ก ที่จะต้องเล่นเกมนั้นให้สำเร็จ หรือคุณพ่อคุณแม่จะปล่อยให้ลูกเล่นกล่องหยอดรูปทรง ซึ่งเป็นของเล่นที่เน้นการเสริมสร้างพัฒนาการด้านสมาธิ ความจำ และการแก้ปัญหาในการแยกแยะรูปทรง ไม่ว่าจะเป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม หรือจะเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ซึ่งนอกจากเด็กจะได้รับความสนุกสนานแล้ว ยังช่วยให้เด็กรู้จักแก้ไขปัญหาเบื้องต้นว่าต้องทำอย่างไรเพื่อเล่นให้สำเร็จ

และกิจกรรมอย่างสุดท้ายที่คุณพ่อคุณแม่จะพลาดไม่ได้คือ กิจกรรมวาดรูป เพราะศิลปะนอกจากจะเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกายให้กับเด็กแล้ว ยังเป็นการฝึกให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ หาข้อบกพร่องและแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย เพราะช่วงเวลาที่ลูกกำลังวาดรูปจะเป็นช่วงเวลาที่สมองกำลังรวบรวม สรรหา เกิดการพัฒนาในเรื่องความจำ เพราะการวาดภาพให้สำเร็จสักรูปนั้น เด็กๆ จะต้องใช้ความคิดและจินตนาการมากมาย

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ โภชนาการที่ดี ซึ่งโภชนาการที่มีประโยชน์และมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยคือ ดีเอชเอ ที่เป็นสารอาหารที่มีผลต่อการพัฒนาสมอง มีส่วนช่วยให้ลูกมีสมาธิ ความจำและการคิดวิเคราะห์ ดีเอชเอเป็นสารอาหารที่พบมากในอาหารประเภทปลาทะเล อาทิ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาโอลาย เป็นต้น พบว่าเด็กที่ได้รับสารดีเอชเอในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้การทำงานของสมองส่วนหน้าทำหน้าที่ควบคุมการเรียนรู้ การคิด สมาธิ ความจำ และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ดีเอชเอยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาสมอง ไม่ว่าจะเป็นโคลีนซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างสื่อสัญญาณประสาท พัฒนาการเรียนรู้และความจำ ซึ่งพบมากในนมแม่ เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และขนมปังกรอบ และวิตามินบี 12 ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง สามารถพบมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ เนื้อปลา และไข่ ทั้งนี้การที่ลูกได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองอย่างครบถ้วนย่อมหมายถึงพัฒนาการกระบวนการเรียนรู้ด้านต่างๆ ของลูกย่อมดีขึ้นตามไปด้วย ทำให้ระบบสมองของลูกสามารถคิดวิเคราะห์ จดจำ เชื่อมโยง จัดเก็บข้อมูล และนำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก เอนฟาโกร เอพลัส

15 วิธีขจัดความเจ็บปวดภายในจิตใจ



15 วิธีขจัดความเจ็บปวดภายในจิตใจ
ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ


หากสามารถเลือกได้ คงจะไม่มีใครอยากเผชิญกับความเจ็บปวดไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือทางด้านจิตใจ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายหากไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ เราคงสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาหรือการปรึกษาจากแพทย์

แต่หากเป็นความเจ็บปวดทางด้านจิตใจแล้ว หากเกิดขึ้นกับใคร มันอาจเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะขจัดให้หายไปได้ง่ายๆ วันนี้ผู้เขียนจึงขอเสนอคำแนะนำที่สามารถช่วยขจัดความเจ็บปวดภายในจิตใจด้วยตนเอง ดังนี้

1. หาที่สงบและผ่อนคลาย ไปหาที่เงียบ ๆ เพื่อมีเวลาใคร่ครวญกับตัวเองในการศึกษาถึงสาเหตุรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหาที่ทำให้หัวใจตนเองเจ็บปวด แล้วก็หาทางแก้ที่ต้นเหตุ เช่นหากเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกผิดในอดีต ไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นกลับมาในความคิดอีก ต้องยกโทษและให้อภัย ทั้งตัวเองและผู้ที่ทำผิดต่อเรา พยายามลืมสิ่งที่เจ็บปวดนั้นและก้าวต่อไป

2. อยู่กับปัจจุบัน หากเราคิดฟุ้งซ่านถึงอดีตที่เจ็บปวดและกลัวที่จะก้าวไปในอนาคต ให้พยายามค่อยๆดึงตัวเองกลับมาในโลกปัจจุบัน

3. เขียนระบายความเจ็บปวดลงบนกระดาษ หรือไดอารี่ การเขียนระบายสิ่งที่เจ็บปวดต่างๆนั้นเป็นวิธีการบำบัดที่ดีวิธีหนึ่ง การเขียนคำต่างๆเพียง 2-3 คำ หรือการเขียนบทกวี เขียนเป็นนิยายหรือเป็นบทความระบายความรู้สึก อาจช่วยเปลี่ยนทัศนคติ การมองโลก และได้แง่คิดต่างๆมากขึ้น ช่วยทำให้เราเข็มแข็งขึ้น เช่นผู้ที่ติดยาสามารถเขียนระบายความรู้สึกของตนออกในแง่มุมที่สังคมเข้าใจความคิดและความรู้สึกของคนติดยามากขึ้น

4. เรียนรู้จากข้อผิดพลาดเพื่อได้บทเรียนและประสบการณ์ที่จะไม่ก้าวพลาดอีก

5. อย่าหลีกหนีปัญหาหรือเพิกเฉยต่อปัญหา เพราะจะทำให้หนักขึ้น ต้องเรียนรู้จักการเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างฉลาด

6. ใช้วิธีการฝึกลมหายใจ หายใจเข้าออกลึกๆ พร้อมกับนับ 1-2-3 ผ่อนคลาย

7. ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ผู้ที่ให้คำปรึกษาต้องมีความเข้าใจและเข้าถึงปัญหาของผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดทางจิตใจเพื่อที่จะให้คำปรึกษาได้ถูกทาง และไม่ทำให้ผู้ที่มีปัญหาหนักใจยิ่งขึ้นไปอีก

8. ทำจิตให้สงบ มีสมาธิ เรียนรู้เรื่องการปล่อยวาง อธิษฐาน หาที่พึ่งทางศาสนา

9. มีส่วนช่วยเหลืองานสังคมสงเคราะห์ เช่นช่วยเหลือผู้ที่เจ็บป่วยหรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อช่วยบรรเทาหรือเบี่ยงเบนความเจ็บปวดภายใน บางครั้งเราอาจได้แง่คิดใหม่ๆ และเปลี่ยนมุมมองของชีวิตตนเองได้

10. มีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ดีงาม พยายามหัดเป็นคนที่คิดทางบวก เช่นตัวอย่างจากภาพยนตร์การ์ตูนของ Walt Disney ปีเตอร์แพน บอกลา เวนดี้ ด้วยประโยคสุดท้ายว่าให้จดจ่อกับสิ่งที่สวยงาม ทรงคุณค่าแล้วหัวใจของเราจะติดปีกและบินได้อย่างมีความสุข

11. ให้เรามีจิตใจเหมือนเด็กๆ สนุกกับสิ่งรอบข้าง ให้อภัยและลืมความเจ็บปวดได้ง่าย

12. รู้เท่าทันความเจ็บปวด ความทุกข์อาจเปลี่ยนเป็นความโกรธ ความเครียด ระบายลงกับผู้อื่น รวมถึงส่งผลต่อร่างกายเกิดอาการซึมเศร้า อาจถึงการคิดฆ่าตัวตายได้ ดังนั้นให้เรารู้เท่าทันอาการต่างๆเหล่านี้

13. ท่องเที่ยวพักผ่อน หาที่พักสงบทางจิตใจ ไปเที่ยวตากอากาศ เช่น ไปเดินเล่นริมหาดทราย ฟังเสียงนก เก็บดอกไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ตามชายเขา อยู่กับคนรัก เป็นต้น

14. อย่าทำตัวเองให้ว่าง หางานอดิเรกทำ เช่นทำสวน ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ เลี้ยงสัตว์ทำอาหาร เป็นต้น

15. หากเป็นปัญหาที่ทำให้หัวใจเจ็บปวดแตกสลายเกินเยียวยาด้วยตนเอง ให้ปรึกษาจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาทันที

ความเจ็บปวดภายในจิตใจเป็นเรื่องธรรมดาที่เรามนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก ล้วนแล้วต้องเคยเผชิญกับความเจ็บปวดภายในจิตใจทั้งสิ้น ความเจ็บปวดของคนๆหนึ่งไม่สามารถจะเปรียบเทียบกับของอีกคนหนึ่งได้ แต่สิ่งที่สำคัญเมื่อเราต้องเผชิญกับความทุกข์ก็คือต้องฉลาด อย่าจมกับปัญหา อย่าสงสารตัวเอง เรียนรู้ที่จะ ให้อภัยตนเอง เริ่มต้นใหม่และก้าวไปด้วยหัวใจที่สดใสอีกครั้ง ขอเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ




ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000024075

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ยารักษาสิวกับคุณแม่ตั้งครรภ์

ยารักษาสิวกับคุณแม่ตั้งครรภ์



เรื่องความสวยความงามไม่เข้าใครออกใครค่ะ ยิ่งในยุคที่สื่อนำเสนอแต่ภาพคนสวยคนหล่อให้เห็นจนชินตาจน กลายเป็นต้นแบบให้เรา ๆ ต้องอยากสวยตามกันอย่างไม่มีเหตุผล และไม่เพียงเฉพาะกับวัยรุ่นเท่านั้นค่ะที่อยากสวย แม้แต่คุณแม่ตั้งครรภ์ก็ไม่ยอมแพ้เรื่องนี้เช่นกัน

ในช่วงตั้งครรภ์เป็นช่วงที่ว่ากันว่า กำลังมีการเจริญพันธุ์ของทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยเฉพาะว่าที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกชาย ซึ่งเชื่อกันว่าฮอร์โมนของลูกชายจะยิ่งทำให้คุณแม่มีสิวเห่อขึ้นมา ทำให้เคุณแม่คนสวยต้องหาทางรักษาสิว บางคนปรึกษาแพทย์ แต่บางคนก็หายามาใช้เอง อย่างหลังนี่แหละค่ะที่อันตราย เพราะยารักษาสิวบางตัวเป็นอันตรายต่อทารกใน ครรภ์นะคะถ้าไม่ศึกษาและได้รับคำแนะนำจากแพทย์

ในกลุ่มของผู้ที่รักษาสิว มักจะทราบกันดีว่าจะมีกลุ่มยาบางตัวที่ไม่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะก่อน ทำการรักษาหรือจ่ายยาเหล่านั้น แพทย์ผิวหนังจะต้องถามเราก่อนเสมอว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ หรือกำลังวางแผนจะตั้งครรภ์หรือไม่ เพราะยาดังกล่าวจะส่งผลให้ทารกที่เกิดมามีความผิดปกติได้ ดังนั้น ว่าที่คุณแม่ที่ยังอยากสวย แม้จะตั้งครรภ์ก็อย่าให้ความอยากสวยมาทำร้ายเจ้า ตัวเล็กนะคะ เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่า มียากลุ่มไหนบ้างที่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และเบบี๋ใน ท้อง

กลุ่มยารักษาสิวแบบทา

1. ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ หรือ เรตินอยด์ ได้แก่ Tretinoin, Isotretinoin, Adapaleno ซึ่งยากลุ่มนี้ยังไม่ยืนยันความปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์

2. Tazarolene ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์โดยเด็ดขาด

กลุ่มยารักษาสิวแบบทาน

1. ยากลุ่มเดตตร้าชัยคลิน ได้แก่ Tetracycline, Doxycycline และ Minoeyeline ซึ่งเป็นยากินรักษาสิวที่ใช้กันมาก เนื่องจากยาตัวนี้มีผลต่อกระดูกและฟันของเด็กอ่อนในครรภ์และเด็ก

2. กลุ่มฮอร์โมน เช่น Spironolactone, Cyproterone acetate ระหว่างกินยาชนิดนี้ก็ห้ามตั้งครรภ์ เพราะลูกน้อยในท้องที่เป็นเพศชายคลอดออกมามีลักษณะคล้ายเพศหญิง

3. ยากลุ่มวิตามิเอ คือ เรตินอยด์ หรือ Isotretinoin ยาตัวนี้จะทำให้ทารกในครรภ์พิการได้อย่างมาก คือ ศีรษะโตหรือเล็กผิดปกติ ในหน้าและตาผิดปกติปัญญาอ่อน หรือหัวใจผิดปกติได้ ดัง นั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องจำขึ้นใจอย่าใช้ยาตัวนี้เด็ดขาด หรือใครที่คิดจะตั้งครรภ์ เคยใช้ยาตัวนี้ก็ต้องหยุดกินยาให้ครบ 1 เดือนก่อนการตั้งครรภ์จึงปลอดภัย และระหว่างให้นมลูกก็ห้ามใช้ยาตัวนี้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงห้ามบริจาคเลือดระหว่างกินยานี้ การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ส่วนความผิดปกติที่พบร้อยละ 25-30 ของหญิงตั้งครรภ์ที่กินตัวยานี้ เด็กมีความผิดปกติในกะโหลกและใบหน้า หัวใจ ระบบประสาทส่วนกลาง

คุณแม่อยากหน้าใสทำอย่างไรดี

ง่าย ๆ เลยค่ะ พบและปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยเฉพาะ และควรแจ้งคุณหมอด้วยว่าขณะนี้กำลังตั้งครรภ์กี่เดือน เพื่อให้การจ่ายยารักษาสิวเป็นไปอย่างปลอดภัยมากที่สุด และหากอยากเลี่ยงการใช้ยารักษาสิวโดยสิ้นเชิง ก็ยังมีการรักษาสิวด้วยวิธีอื่น เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งจะให้ผลที่ดีกว่าและช่วงรักษาได้เฉพาะจุด โดยไม่เป็นอันตรายเจ้าตัวน้อยในครรภ์ด้วยค่ะ

รวมไปถึงการรักษาด้วย การรักษาความสะอาดเป็นสำคัญค่ะ ล้างหน้าให้สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว หรือจะใช้สมุนไพรที่เป็นธรรมชาติล้วนๆ ขัดหรือพอกหน้าดูก็ได้ค่ะ และถ้ายังห่วงเรื่องความปลอดภัยก็ปรึกษาก่อนเพื่อความมั่นใจ

อย่าลืมเป็นอันขาดนะคะว่าถึงจะอยากสวยแค่ไหน แต่เจ้าตัวน้อยในครรภ์ก็สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดค่ะ เราอาจจะต้องดูแลเจ้าตัวน้อยให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยหันมาดูแลตัวเองก็ยังไม่สายนะคะ ความสวยรอได้ค่ะ


ที่มา
http://women.kapook.com/view21223.html