วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปริศนาความเชื่อเรื่อง "ขวัญ" (บนศีรษะลูก)

ปริศนาความเชื่อเรื่อง "ขวัญ" (บนศีรษะลูก)


เชื่อได้เลยว่าพ่อแม่หลายคน คงต้องเคยสังเกตศีรษะของลูกว่ามีกี่ขวัญ ซึ่งเป็นการทำนายต่อๆ กันว่า ถ้าลูกชายมี 2 ขวัญ จะขยันหาเมีย โดยปริศนาความเชื่อเรื่องขวัญเหล่านี้ เป็นความเชื่อของคนโบราณที่เชื่อต่างกันออกไป ซึ่งมีทั้งเรื่องเจ้าชู้ ความฉลาด หรือลงลึกไปถึงตัวจิต วิญญาณที่ไม่มีตัวตน ตลอดจนการกลับชาติมาเกิด

ในเรื่องนี้ "น้อย วงศ์บุญมา" คุณยายวัย 89 ปี ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านพวงพยอม อ.จุน จ.พะเยา เล่าย้อนความเชื่อเรื่อง "ขวัญ" ให้ฟังว่า ความเชื่อเรื่องขวัญเป็นการบอกเล่าสืบๆ ต่อกันมา จากรุ่นของทวด ปู่ ย่า ตา ยาย มาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน โดยขวัญประจำตัวของคนเรามีทั้งหมด 32 ขวัญ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะบริเวณศีรษะตำแหน่งเดียว แต่ยังขวัญมีอยู่ทั่วร่างกาย ตามผิวหนัง หรือข้อพับต่างๆ

"ขวัญในแต่ละจุดสามารถสื่อความหมายอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่สำหรับขวัญบนศีรษะ ที่คล้ายๆ กับขมวดผมที่เป็นแนวของเส้นผมขดเป็นวงกลมหรือขดเป็นแนวก้นหอย ปกติคนส่วนใหญ่จะมีเพียง 1 ขวัญ แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่มีมากกว่า 1 ขวัญขึ้นไป"

สำหรับคนที่มี 1 ขวัญ ยายน้อยบอกว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าพูดถึงลักษณะแนวการวนของเส้นผมหรือขวัญนั้น มีความเชื่อกันว่า แนวเส้นผมที่วนซ้ายจะเป็นขวัญดี แต่ถ้าวนขวาจะสื่อถึงขวัญประจำตัวหรือขวัญที่หนึ่ง ไม่ใช่ขวัญของใครกลับชาติมาเกิด

ขณะที่ "ศรีมา วงค์จักร์" คนเก่าคนแก่ของหมู่บ้านใหม่ ในจังหวัดพะเยาที่ย้ายถิ่นฐานมาจากจังหวัดลำปาง บอกเล่าว่า ความเชื่อเรื่องขวัญของคนสมัยโบราณไม่ต่างกันมากนัก เด็กที่มีขวัญเดียวถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนคนที่มี 2 ขวัญ คนสมัยก่อนบอกว่าเป็นคนเจ้าชู้ ขยันหาคู่ครอง หรืออาจจะมีภรรยา-สามีหลายคน

แต่ในจำนวนของขวัญทั้ง 2 ขวัญนี้ ว่ากันว่า ขวัญที่ 1 เป็นขวัญตักตวง มีความหมายว่า ตักเอาแต่ของที่ดีๆ เข้ามาในชีวิต ส่วนขวัญที่ 2 เป็นขวัญของคนที่กลับชาติมาเกิด ซึ่งจะเป็นคนดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ได้สร้างไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว บางคนก็เชื่อว่าคนที่มีสองขวัญ มีคนกลับชาติมาเกิดสองคน บางหมู่บ้านก็เชื่อว่าคนที่มีขวัญ 2 ขวัญขึ้นไปจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาด หัวดี มีไหวพริบ

"ในชุมชนต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือจะเชื่อกันว่า ขวัญที่อยู่บนศีรษะของเด็ก เป็นตัวแทนของจิต หรือวิญญาณของญาติผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตไป แล้วกลับชาติมาเกิดเป็นลูกหลานในชาตินี้ ซึ่งเป็นเรื่องลี้ลับ จับต้องไม่ได้ แต่ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่า เมื่อใดที่มีเด็กเกิดใหม่ในครอบครัว จะมีการทำนายกันว่า ใครเป็นคนที่กลับชาติมาเกิดเป็นเด็กคนนี้ ฉะนั้นขวัญประจำตัวก็เป็นของคนที่มาเกิด"

นอกจากนี้ การมีขวัญบนศีรษะ ยังมีการคิดตามหลักทางวิทยาศาสตร์ด้วยว่า เป็นการแสดงยีนเด่นหรือยีนด้อยของลูก ซึ่งในเรื่องนี้ยังไม่มีข้อมูลรองรับที่จะสามารถนำมาอ้างอิงได้ ดังนั้นตราบใดที่ความเชื่อไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับชีวิต และร่างกายของลูก

ดังนั้น อย่าเพิ่งไปกังวล ตกใจ หรือตื่นตระหนก เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำ และการประพฤติปฏิบัติมากกว่า ซึ่งถ้าพูดกันตามจริง ขวัญเป็นเพียงเส้นผมที่ขึ้นเรียงกันเป็นก้นหอยอยู่บนศีรษะของคนเรา เป็นลักษณะการเจริญของเส้นผม ส่วนใครจะมองแบบใดแล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคล

*** ข้อมูลประกอบเรื่องเล่า/จาก http://th.answer.yahoo.com

คำว่า "ขวัญ" เป็นคำไทยที่บัญญัติขึ้น พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า ขวัญ เป็นสิ่งไม่มีตัวตน แต่มีอยู่ประจำชีวิตของคนเราตั้งแต่เกิดมา ในขณะที่อีกความหมายคือ ผม หรือ ขน ที่ขึ้นเวียนเป็นก้นหอยบนศีรษะ

อย่างไรก็ดี "ขวัญ" ที่ให้ความหมายว่า จิต หรือ วิญญาณที่ไม่มีตัวตน ที่มีอยู่กับชีวิตของคนเราทุกคน มีอยู่กับสิ่งของทรัพย์สินของคนเราทุกชนิด จิตหรือขวัญจะต้องอยู่กับร่างของคน สัตว์ สิ่งของ ตลอดเวลา ถ้าหากเมื่อใดขวัญออกห่างไปจาก ร่างกายคน ก็จะส่งผลให้คนนั้นมีอาการอ่อนแอ เจ็บป่วยและอาจเสียชีวิตไปในที่สุด

คนที่มีขวัญอ่อน มักเจ็บป่วยอยู่เสมอ เนื่องจากการประสบอุบัติเหตุ เมื่อขวัญออกห่างไป ความหายนะก็เข้ามาแทนที่ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวคนสมัยก่อนที่เล่าต่อๆ กันมา การที่ร่างย้ายจากสถานะหนึ่งไปอยู่อีกสถานะหนึ่งหรือย้ายจากที่หนึ่ง (ที่อยู่อาศัย) ไปอยู่อีกที่หนึ่งโดยกะทันหัน เช่น การไปทำงานในต่างถิ่น การไปเที่ยวสนุกสนาน จนลืมตัว เหล่านี้ก็ทำให้ขวัญเหินห่างจากร่างได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ขวัญออกจากร่างกาย หรือให้ขวัญกลับเข้าร่างเดิม จึงได้มีการเรียกขวัญขึ้น ซึ่งมีขั้นตอนและพิธีกรรมต่างๆ ตามแบบอย่างของคนแต่ละท้องถิ่นเคยปฏิบัติกันมา



ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

เปิดความเชื่อที่อาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ "สายสะดือเด็ก"

เปิดความเชื่อที่อาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ "สายสะดือเด็ก"

หากพูดถึงสายสะดือของเด็ก ไม่เพียงแต่เป็นสายใยหล่อเลี้ยงชีวิตลูกน้อยในครรภ์เท่านั้น แต่ยังเป็นสายใยแห่งความเชื่อที่มีตำนานเล่าขานกันมาแต่โบราณ โดยเฉพาะสะดือของลูกหลังคลอดที่แห้งหลุดออกมา คนสมัยก่อนจะให้ความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเอาไปทำยา หรือเก็บไว้เป็นเครื่องรางติดตัวลูก

กับความเชื่อดังกล่าวนี้ หมอวี-กวี ทัศนศร อายุ 53 ปี หมอนวดแผนไทย และหมอพื้นบ้านผู้มีความรู้เกี่ยวกับการทำคลอด บอกเล่าให้ทีมงาน Life and Family ฟังว่า ความเชื่อเรื่องสายสะดือของเด็ก คนโบราณมักเชื่อกันว่า หากสายสะดือของลูกหลุด พ่อแม่มักจะเก็บไปทำยา ด้วยการนำไปตากแห้ง นำมาฝนให้ลูกกินแก้อาการเจ็บป่วย โดยมีข้อแม้ว่า สะดือของเด็กคนใด ต้องเป็นของเด็กคนนั้น

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละภาคของไทย มีความเชื่อเรื่องสายสะดือแตกต่างกัน โดยชาวล้านนามีความเชื่อกันว่า สายสะดือของเด็ก เป็นสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง จึงต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี ด้วยการทำให้แห้งสนิท แล้วห่อกระดาษเก็บเอาไว้ เมื่อเด็กที่เป็นพี่มีน้องคลอดตามมา แม่จะเอาสะดือของทั้งสองพี่น้อง หรือของลูกทุกคน มาฝนกับหินฝนยา แล้วเอาน้ำสะดือนั้นให้ลูกทุกคนกิน โดยเชื่อกันว่า พี่น้องจะได้รัก และห่วงใยกัน เหมือนเป็นการกรีดเลือดสาบานดื่มพร้อมกัน ดังคำสอนของชาวล้านนาที่ว่า "ปี้น้องกันกกไส้ปั๋นกั๋น หื้อฮักกั๋น" ซึ่งหมายความว่า พี่น้องตัดไส้แบ่งกันจะได้รักกัน

ส่วนภาคใต้ เมื่อหมอตัดสายสะดือเด็กด้วยไม้ไผ่บางๆ และผูกด้วยด้ายดิบเป็นสอง หรือสามเปลาะ เอาสายสะดือเปลาะที่สองนับจากตัวเด็กวางลงบนขมิ้นแล้วตัดเอาส่วนที่เป็นรอยไปแตะที่ขมิ้น ปาก และมือของเด็ก โดยถือเคล็ดที่ว่า ป้องกันไม่ให้เด็กปากไม่ดี มือบอน มือไว หรือซุกซน จากนั้นเอาเชือกผูกสายสะดือส่วนที่ติดกับตัวเด็กอีกครั้งแล้วเอายาทา โดยยาที่ใช้ทา คือ ยาพลับพลา ขี้เต่า หญ้าใต้ใบ หรือรัง เป็นต้น ซึ่งใช้วิธีบดโรยบนสะดือทิ้งไว้ราว 7 วัน สะดือเด็กก็จะหลุด ก่อนสะดือเด็กจะหลุดนั้น ต้องอาบน้ำให้เด็กนอกอ่าง เพราะเชื่อว่า ถ้าสะดือหลุดในอ่างภายหน้าเด็กจะเสียชีวิตในน้ำ

ทั้งหมดนี้ หมอวีบอกว่า เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ปัจจุบันมีให้เห็นน้อยลง หรือแทบจะไม่มีเลย เนื่องจากวิทยาการทางการแพทย์มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น

สำหรับความเชื่อเดียวกันนี้ ไม่เฉพาะแต่เพียงคนไทยเท่านั้นที่ให้ความสำคัญ ฟากฝรั่ง หรือชาวต่างชาติก็มีความเชื่อ และให้ความสำคัญในเรื่องนี้ไม่น้อย ซึ่งหากค้นตำนานความเชื่อของฝรั่ง และชาติต่างๆ พบว่า สายสะดือของเด็กที่หลุดออกนี้ นับเป็นของขลังสำหรับเด็กในอนาคตข้างหน้า ซึ่งหากเด็กเจ้าของสายสะดือเจ็บป่วยขึ้น จะได้ดูดสายสะดือกินเป็นการแก้อันตราย

เห็นได้จาก ชาวบ้านชาวกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี หมอตำแยจะมอบสายสะดือแห่งนี้ให้บิดาของเด็กรักษาไว้จงดี ถ้ารักษาไว้ได้นานตราบใด เด็กจะมีความเจริญปราศจากโรคภัยไข้เจ็บตราบนั้น





ส่วนชาวอังกฤษเมื่อราวร้อยปีเศษล่วงมานี้ มีประกาศขอซื้อสายสะดือแห้งบ่อยๆ ถือว่าสะดือเป็นของขลังเมื่อต้องล่องเรือไปกลางทะเล เพราะเชื่อกันว่า จะช่วยไม้ให้เรืออับปาง ทั้งยังเป็นของนำโชคลาภมาให้แก่ผู้ครอบครอง เช่น เวลาตกน้ำ ถ้ามีติดตัวไว้ แม้ว่ายน้ำไม่เป็นก็จะไม่จมน้ำตาย

เช่นเดียวกับที่เกาะเซรัม และเกาะอื่นๆ ทางทะเลใต้ ตลอดจนชาวออสเตรเลีย ส่วนใหญ่มักเอาสายสะดือแห้งๆ ผูกคอเด็กเป็นเครื่องราง โดยเชื่อว่าจะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บของเด็ก หรือถ้าเด็กเจ็บป่วยก็จะใช้สายสะดือเป็นยารักษาโรค และทำให้เด็กเติบโตเร็ว ตลอดจนเป็นเครื่องรางป้องกันตัวเองให้พ้นภัยเมื่อต้องออกเดินทางหรือทำสงคราม

ทางด้านประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างพม่า พวกเขาเชื่อว่าสายสะดือเด็ก ถ้านำติดตัวไปด้วย จะทำให้ใครๆ มีจิตใจเมตตา ขณะที่ชาวฮินดูลางถิ่น ใช้สายสะดือป่นกับไข่ให้เด็กกิน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดสติปัญญา และถ้าบรรจุเย็บไว้ที่คอเสื้อผ้าของเด็ก เด็กจะเป็นคนเก่งกล้าสามารถ

เมื่อพิจารณาคติของไทย และชาติต่างๆ ตามที่เล่ามาแล้ว สายสะดือถือเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของเด็ก เพราะเด็กมีชีวิตอยู่ได้ในท้องแม่ โดยอาศัยสายสะดือเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้สูงอายุของไทยสมัยก่อนมักเก็บสายสะดือแห้งไว้เป็นน้ำกระสายยา เวลามีใครป่วยหนักกินยาอะไรไม่ทุเลา จะฝนสายสะดือแห้งเป็นน้ำกระสายแทรกไปกับยาอื่นเป็นอย่างยาอธิษฐาน นอกจากนี้ยังใช้สายสะดือแห้งฝนกับน้ำมะนาว ทาแก้พิษแมลงอะไรต่อยได้ด้วย

อย่างไรก็ดี ทางทีมงานได้พยายามติดต่อสอบถามไปยังแพทย์แผนปัจจุบันอยู่หลายคน เพื่อนำข้อมูลมารองรับกับความเชื่อดังกล่าว แต่ไม่มีท่านใดให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย ดังนั้นจึงขอฝากไว้ว่า เมื่อพ่อแม่รู้ถึงความสำคัญของสายสะดือที่เป็นเหมือนเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตลูกระหว่างอยู่ในครรภ์ แต่เมื่อลูกคลอดออกมา สะดือลูกถือเป็นส่วนสำคัญที่พ่อแม่ทุกคนจะต้องดูแลให้สะอาดตามหลักการแพทย์ปัจจุบันอย่างดีที่สุด และควรระวังความเชื่อที่มีความเสี่ยงต่างๆ เพราะตราบใดที่สายสะดือยังไม่หลุดออกไป โอกาสที่ลูกจะติดเชื้อทางสายสะดือย่อมมีความเสี่ยงได้สูง

เทคนิคการเช็ดสะดือให้ลูก

- หากสายสะดือยังไม่หลุดให้เช็ดทำความสะอาดรอบสะดือหลังอาบน้ำหรือหลังการเช็ดตัวลูกทุกครั้ง

- จับสายสะดือให้สูงขึ้น โดยจับปลายเชือกที่ผูกสายสะดือยกขึ้น อีกมือให้ใช้สำลีสะอาดชุบแอลกอฮอล์ 70 % พันไม้สอดเข้าไปเช็ดสะดือให้สะอาดทั่วถึง โดยเช็ดสะดือด้านในเบาๆ ไปจนถึงโคนสะดือ

- ใช้สำลีพันปลายไม้อันใหม่เช็ดขอบสะดือเป็นวงกว้าง และบริเวณรอบสายสะดือให้สะอาดอีกครั้ง โดยไม่ใช้ส่วนที่เช็ดแล้วมาเช็ดซ้ำอีก

- หลังเช็ดสะดือแล้วไม่ควรโรยแป้ง เพราะจะทำให้สะดือแห้งช้า และยังเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคควรเปิดสะดือลูกให้ถูกอากาศบ่อยๆ สะดือจะได้ไม่อับชื้น

- ถ้าสายสะดือหลุดแล้ว แต่สะดือยังไม่แห้งสนิท ควรเช็ดทำความสะอาดต่อไปก่อน จนกว่าจะเห็นว่าสายสะดือแห้งสนิทแล้วค่อยเลิกเช็ด

- ถ้าเห็นว่าสายสะดือของลูกอักเสบ สะดือแดงผิดปกติ หรือสะดือมีหนอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

/////////////

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือประเพณีเกี่ยวกับชีวิต งานนิพนธ์ชุดประเพณีไทยเรื่องการเกิด ของเสฐียรโกเศศ จากต้นฉบับที่พิมพ์โดย สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, ข้อมูล และวรรณนิทัศน์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่องการเกิด สำนักหอสมุดแห่งชาติ


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

"สารพัดความเสี่ยง" ช่วงปิดเทอม ภัยที่พ่อแม่พึงระวัง!

"สารพัดความเสี่ยง" ช่วงปิดเทอม ภัยที่พ่อแม่พึงระวัง!

ในยุคที่พ่อแม่หลาย ๆ ท่านต้องทำงานด้วยกันทั้งคู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า โรงเรียนเป็นพี่เลี้ยงหลักที่ช่วยดูแลลูกได้มาก แต่เมื่อโรงเรียนปิดเทอม ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่จะปิดตามไปด้วย ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งถูกปล่อยเกาะให้อยู่บ้านคนเดียว ในขณะที่บางคนอยู่กับพี่เลี้ยง หรือถูกส่งตัวไปอยู่กับญาติผู้ใหญ่ เช่น บ้านปู่ย่าตายาย

เมื่อเด็กมีเวลาว่าง และถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล เด็กกลุ่มนี้ย่อมมีความเสี่ยงที่จะขลุกอยู่กับเกม โทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ต นำไปสู่การเผชิญหน้ากับสารพัดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึงตามมา ถือเป็นปัญหาที่พ่อแม่ทุกท่านจะละเลย หรือมองข้ามไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมนี้

"สารพัดความเสี่ยง" ในร้านเน็ต

ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บอกว่า ช่วงปิดเทอม เด็กใช้เวลาอยู่กับเกม และอินเทอร์เน็ตค่อนข้างมาก และมีจำนวนไม่น้อยนิยมเข้าใช้บริการร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ซึ่งปัญหาที่พบส่วนใหญ่ เด็กมักถูกข่มขู่ รีดไถมากที่สุด รองลงมาถูกทำร้ายร่างกาย ตบ ตี ชก ต่อย เป็นหนี้ร้านอินเทอร์เน็ต ถูกลวนลามทางเพศ พยายามข่มขืน บังคับให้สูบบุหรี่ตามลำดับ (อ้างอิงจากผลสำรวจเอแบคโพลล์ในปี 2548 และ 2551)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้จัดการสสส. เผยถึงแนวโน้มว่า เด็กจึงมีความเสี่ยงต่อการหายตัวออกจากบ้านมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าตกใจอีกว่า ในช่วงปิดเทอม คือ เดือนเมษายน มีเด็กเสียชีวิตมากที่สุด รองลงมาคือ มีนาคม พฤษภาคม และตุลาคม โดยสาเหตุอันดับ 1 มาจากการจมน้ำเสียชีวิต คิดเป็น 5-6 คนต่อวัน รองลงมาคือ อุบัติเหตุอื่น ๆ และอันดับ 3 คือ อุบัติเหตุทางจราจร

อ้วน-ฟันผุ-สานตาสั้นเทียม

ด้านสุขภาพของเด็กที่น่าเป็นห่วงในช่วงปิดเทอมนั้น นพ.สุริยเดว ทรีปาตรี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็ก และครอบครัว เปิดเผยว่า ปิดเทอม 1 ครั้ง เด็กน้ำหนักตัวขึ้น 3-4 กิโลกรัม เพราะเด็ก 70-80 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาดูทีวี เล่นเกม กินอาหารไม่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะเด็กในเขตเมือง เนื่องจากเด็กไม่ทำกิจกรรม ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้ง อ้วน สายตาสั้นเทียม ฟันผุ ลดทอนพัฒนาการ ติดเกม นำไปสู่ความก้าวร้าวตามมา

"เมื่อเด็กอยู่กับจอสี่เหลี่ยมมากเข้า การบริโภคนิยมก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งเด็กจะดูไปกินไป และยิ่งเด็กสมัยนี้ ไม่ถึง 2 ขวบก็มีอำนาจในการสั่งซื้อแล้ว พูดง่าย ๆ คือ เดินชี้นิ้วเอาอันนั้นอันนี้แม่ก็ซื้อให้ทันที เด็กจึงมีปัญหาสุขภาพ ทั้งอ้วน และฟันผุ รวมไปถึงเด็กโตที่จะมีปัญเรื่องสายตาสั้นเทียม และก้าวร้าว เพราะติดเกม" นพ.สุริยเดวเผย

ดังนั้น เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้น คุณหมอเดวบอกว่า กิจกรรมสันทนาการที่มีประโยชน์สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โดยคุณหมอแนะนำว่า พ่อแม่ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก สลับสับเปลี่ยนกันทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยมี 6 ฐานกิจกรรมดังต่อไปนี้

1. ดนตรี เช่น ร้องคาราโอเกะ หรือชวนกันไปดูหนัง ฟังดนตรี จากนั้นพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในครอบครัว

2. ศิลปะ เช่น วาดภาพ หรือสร้างงานศิลปะร่วมกัน

3. สร้างปัญญา เช่น พากันไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ชวนกันเล่นเกมที่สร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์

4. จิตวิญญาณ เช่น จูงมือกันเข้าวัด ทำบุญ หรือให้ลูกได้มีโอกาสเป็นมัคคุเทศน์น้อยในชุมชน

5. พลังกาย เพิ่มได้จากการออกกำลังกาย ผจญภัย ท่องเที่ยวตามสถานที่ธรรมชาติต่าง ๆ ใกล้บ้าน

6. ฟรีเพลย์ คือ ทำสิ่งที่ชอบอะไรก็ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูความปลอดภัยในกิจกรรมนั้น ๆ ด้วย

ทั้ง 6 ฐานกิจกรรมนี้ คุณหมอเดวบอกว่า คุณพ่อคุณแม่สามารถพัฒนาทักษะลูกได้ทุกวัย ไม่ควรทำเพื่อเด็กแค่วันเดียว แต่ควรทำทุกวันเท่าที่จะทำได้ ซี่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับลูกไม่มากก็น้อย เช่น พัฒนาการทางอารมณ์ ทำให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน ได้เรียนรู้ด้วยตัวเขาเอง ส่วนการให้ลูกทำกิจกรรมทางวิชาการอย่างเดียวนั้น เด็กอาจจะขาดปฏิสัมพันธ์ และจมอยู่กับโลกที่มีแต่การแข่งขัน

นอกจากนี้ ทางสสส.ยังรวบรวม 32 กิจกรรมเพื่อเด็ก และครอบครัว แบ่งเป็น 5 ด้าน คือ 1. สนุกสุดมันส์กับกิจกรรมสร้างสรรค์ อาทิ อบรมจัดทำหนังสั้น ผลิตเพลง และมิวสิควิดีโอ ดนตรี ละคร ศิลปะ 2. แค่ขยับเท่ากับเริ่มออกกำลังกาย อาทิ อบรมสอนว่ายน้ำ กิจกรรมเดิน-วิ่ง 3. ฝึกทักษะสร้างอาชีพ 4. อบรมกิจกรรมเสริมปัญญา และ 5. ค่ายอาสาสร้างสุข อาทิ อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ

หากพ่อแม่ท่านใดกำลังมองหากิจกรรมให้ลูก ๆ ในช่วงปิดเทอม คลิกเข้ามาเลือกกันได้ที่ www.happyschoolbreak.com หรือถ้าบ้านไหนมีกิจกรรมดี ๆ และอยากจะส่งต่อให้กับบ้านอื่น ๆ โทรมาอัพเดทกิจกรรมกันที่เบอร์โทรศัพท์ 02-298-0500 ทางสสส.จะรวมรวมเป็นฐานข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป

เอาเป็นว่า ช่วงปิดเทอมแบบนี้ เราในฐานะพ่อแม่ มาฉวยเวลาทองสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อลูก ๆ กันดีกว่าครับ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

5 วิธีคงสุขภาพดีขณะตั้งครรภ์

5 วิธีคงสุขภาพดีขณะตั้งท้อง (Woman's Story)

1. คุณแม่ต้องได้รับธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องทานมาก แต่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและธาตุเหล็กที่มีในพืชนั้น เป็นประเภทที่ไม่ใช่ฮีโมโกลบินทำให้ร่างกายดูดซึมได้ยาก

2. เพื่อช่วยเสริมสร้างสมองให้ลูกน้อย คุณแม่ต้องทานกรดไขมันโอเมก้า 3 แต่ให้หลีกเลี่ยงสัตว์น้ำมีเปลือกประเภทหอย เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายทั้งคุณแม่และทารกน้อยติดเชื้อแบคทีเรียลิสทีเรีย

3. หากคุณแม่ทรมานกับอาการอาเจียน ให้ทานขิงเพราะแก้อาเจียนได้ดี อาจหั่นขิงสดใส่ลงในน้ำอุ่นจัดหรือจะดื่มเบียร์ขิงก็ไม่ว่ากัน

4. คุณแม่ต้องได้รับปริมาณฟลูออไรด์ให้เพียงพอ เพราะสำคัญต่อการสร้างฟันของลูกน้อย

5. คุณแม่ควรทานผัก ผลไม้, ซีเรียล, ข้าวโอ้ต, เมล็ดธัญพืชและอาหารกากใยมาก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลต่อลำไส้ใหญ่ของคุณแม่ อาหารกากใยจึงช่วยได้มากค่ะ

ที่มา
http://women.kapook.com/view21797.html

"BabySign" สื่อสารภาษาเด็ก


สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่สอนให้เด็กได้ใช้กันที่จิมโบลี


รู้จัก "BabySign" สื่อสารภาษาเด็ก

คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงนึกภาพออก ถึงวันที่เจ้าตัวน้อยทำท่าฮึดฮัด หน้ายุ่ง บ้างก็แสดงอาการขัดใจ ด้วยว่าทำอย่างไร พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจหนูเสียที ฝ่ายพ่อแม่ก็รู้สึกว่า ลูกส่งเสียง "อื้อ ๆ ๆ" อยู่นั่น ต้องการอะไรกันนะ หาอะไรมาให้ก็ไม่ถูกใจสักอย่าง

ความยุ่งยากในการสื่อสารนี้ คงเริ่มคลีี่คลายลงในวันที่ลูกโตพอจะเริ่มหัดพูด ส่งจูบเป็น ออกมายืนส่งคุณพ่อก็โบกมือบ๊ายบายได้ เจอญาติผู้ใหญ่ก็เริ่ม "ธุจ้า" ฯลฯ

แต่ยังมีอีกหนึ่งหนทางให้พ่อแม่สามารถเข้าใจเด็ก ๆ และสอนให้เด็ก ๆ สื่อสาร เพื่อบอกถึงความต้องการของตนเองได้ตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้อาการขัดอกขัดใจมีน้อยลง แต่ยังเป็นการเพิ่มคำศัพท์ในสมองของลูกได้อีกต่างหาก นั่นก็คือการสอนให้เด็กใช้สัญลักษณ์ท่าทางแทนการสื่อความหมาย

"ในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถสื่อสารโดยการพูดได้นั้น การสื่อสารโดยใช้ภาษาธรรมชาติ หรือก็คือการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง กระทั่งการใช้ตำแหน่งมือและการเคลื่อนไหว เพื่อการสื่อสารบอกถึงความต้องการของคน ๆ นั้นเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้เด็กสามารถสื่อสารกับผู้ปกครองได้" คุณจิ๊บ - ชามาภัทร สิทธิอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพลย์แอนด์มิวสิก เจ้าของลิขสิทธิ์ จิมโบลี ประเทศไทย กล่าว

"หากเราสามารถสอนให้เด็ก ๆ รู้จักสื่อสาร บอกความรู้สึกความต้องการของตนเองผ่านภาษาท่าทาง ก็จะช่วยให้ผู้ใหญ่ และเด็กสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจมากขึ้น
แถมยังช่วยให้สมองเด็กมีการพัฒนา มีการเชื่อมโยงของเซลล์สมองมากขึ้น เพราะเขาจะมีการจดจำคำศัพท์ต่าง ๆ ได้มากกว่าด้วยค่ะ"

ทั้งนี้ คุณชามาภัทรกล่าวด้วยว่า การสอนคำศัพท์ผ่านการแสดงออกของท่าทางอาจแบ่งได้ตามความจำเป็นใช้งานของเด็ก ๆ เช่น ศัพท์สำหรับการรับประทานอาหาร, ศัพท์สำหรับการอาบน้ำ, ศัพท์สำหรับการแต่งตัว, ศัพท์สำหรับการไปเที่ยวนอกสถานที่ ฯลฯ เป็นต้น ยกตัวอย่างคำศัพท์ง่าย ๆ ที่สามารถแสดงออกผ่านสัญลักษณ์ท่าทางได้ เช่น คำว่า "ง่วงนอน" ผู้ปกครองสามารถทำท่าง่วงนอนโดยการประกบมือสองข้าง วางไว้ที่บริเวณต้นคอ แล้วเอียงใบหน้าลงมาซบกับมือ พร้อม ๆ กับหลับตา

นอกจากนี้ คุณชามาภัทรได้ยกตัวอย่างของ Dr. Acrodolo Acredolo นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กหลายเล่ม โดย ดร. Acrodolo นั้น สังเกตเห็นว่าลูกของตน (Kate) ขณะที่อายุได้ 12 เดือน มีการทำท่าทางต่างๆ ที่สามารถสื่อสารกับผู้ใหญ่ได้ เช่น เคทวิ่งไปที่ตู้ปลาในคลีนิคหมอ และทำท่าเหมือนเป่าเทียน หรือชี้ไปที่ดอกกุหลาบในสวน และทำท่าดม นั่นจึงเป็นที่มาของงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ชื่อว่า "Symbolic Gesturing in Language Development" จากนั้นได้ขยายผลไปสู่การทดสอบศักยภาพเด็กในวงกว้าง ซึ่งก็พบว่า เด็ก ๆ พยายามแสดงท่าทางต่าง ๆ เพื่อสื่อสารกับผู้ใหญ่อยู่เช่นกัน

"การสอนให้ลูกใช้ท่าทางในการสื่อความหมายที่ถูกวิธีนั้น ต้องทำพร้อม ๆ กับการพูดคำศัพท์นั้น ๆ ข้อดีก็คือ ทำให้เด็กได้ยินคำศัพท์บ่อยขึ้นกว่าปกติ เป็นการกระตุ้นให้เด็กเห็นพลังแห่งการสื่อสาร และพร้อมที่จะสื่อสารด้วยทุกวิธีที่สามารถทำได้ ซึ่งที่จิมโบลีเราเรียกว่า BabySign แต่ก็มีความเข้าใจผิดว่า ถ้าเด็กสื่อสารด้วยวิธีดังกล่าวแล้วจะทำให้พูดช้าลง นั่นอาจเป็นเพราะเกิดความเข้าใจผิดจากการนำไปเปรียบเทียบกับการใช้ภาษามือของคนที่มีปัญหาในการพูด ซึ่งมักมีปัญหาพื้นฐานจากความผิดปกติในการฟังมากกว่าค่ะ"

อย่างไรก็ดี การสอนให้ลูกเล็กใช้สัญลักษณ์ท่าทางจะดีต่อเด็กที่สุดนั้นก็ต่อเมื่อ พ่อแม่สังเกตเห็นว่าเด็กเริ่มสนใจอะไรบางอย่าง แล้วเค้ามองมาที่เรา หรือส่งสัญญาณอะไรบางอย่างมาว่าเค้าอยากรู้จักเจ้าสิ่งนั้น และอย่าลืมว่าต้องออกเสียงด้วย ให้เด็กได้รู้จักทั้งภาษาท่าทางและเสียง เพื่อให้ลูกน้อยได้จดจำ และเมื่อไรที่เค้าพร้อม เชื่อว่าเขาจะแสดงท่าทางนั้น ๆ ออกให้เห็นแน่นอน


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000024198

"Juggling" พัฒนาสมอง เด็กเล่นได้ผู้ใหญ่เล่นดี

หากพูดถึง “Juggling” (จั๊กกลิ้ง) หรือการโยนวัตถุ 3 ชิ้นขึ้นไปสลับกันในอากาศ หลายท่านคงเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้วในการแสดงโชว์ของนักมายากล หรือตามคณะละครสัตว์ที่จะให้ตัวตลกประจำคณะมาเป็นคนโชว์ ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมคนดูได้ค่อนข้างมาก

ปัจจุบันการเล่นจั๊กกลิ้งได้พัฒนารูปแบบไปมากมายและได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก รวมไปถึงประเทศไทย ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ใคร ๆ ก็สามารถเล่นได้ เพียงมีพรแสวง และขยันฝึก

ธงชัย โรจน์กังสดาล อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กูรูจั๊กกลิ้งในประเทศไทย อธิบายผ่านทีมงาน Life & Family ว่า การโยนจั๊กกลิ้งเป็นพรแสวงที่ฝึกกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ นับเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจสำหรับครอบครัวยุคนี้ เพราะนอกจากจะให้ความสนุกแล้ว ยังช่วยคลายความเครียด ตลอดจนสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างพ่อแม่ และลูกได้ด้วย

"การเล่นจั๊กกลิ้งเป็นการโยนของ 3 อย่างพร้อม ๆ กันอย่างต่อเนื่องโดยไม่ให้ตกพื้น เป็นการฝึกใช้มือทั้งสองข้างให้ทำงานได้คล่องแคล่ว ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้เกิดการพัฒนา สามารถเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น"

ยืนยันได้จากงานวิจัยล่าสุดของคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดที่ออกมารองรับว่า การทำกิจกรรมที่มีความซับซ้อนอย่าง การโยนจั๊กกลิ้งนั้น สามารถเพิ่มปริมาตรเนื้อสมองให้มากขึ้นได้ โดยสมองส่วนที่มีปริมาตรเพิ่มขึ้นนั้นเป็นสมองส่วนในที่ทำหน้าที่คล้ายกับเครือข่ายสายเคเบิลเชื่อมต่อสมองส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทำให้การเรียนรู้ในทักษะอื่น ๆ มีประสิทธิภาพ หรือสามารถเรียนรู้ได้เร็วนั่นเอง

“การจะให้จั๊กกลิ้งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นคนนำ และต้องเข้าใจด้วยว่า เด็กแต่ละคนมีความไวในการเรียนรู้ไม่เท่าทัน เวลาที่เล่นกับลูกไม่ควรเปรียบเทียบ แต่ต้องใจเย็น ๆ และคอยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ ถ้าลูกทำได้ควรชื่นชมทันที โดยช่วงวัยของเด็กที่เหมาะสมนั้น ควรมีอายุตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไป เพราะมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ได้ดี” กูรูจั๊กกลิ้งให้คำแนะนำ

สำหรับเทคนิคฝึกโยนจั๊กกลิ้งง่าย ๆ ด้วยตัวเองนั้น เริ่มได้จาก

1. หาสถานที่ในการเล่นอย่างเหมาะสม ควรเป็นสนามหญ้าโล่งกว้าง

2. ลูกบอลในการโยนควรเลือกขนาดที่ไม่ใหญ่ หรือมีสีสว่างเกินไป (สามารถหาซื้อได้ที่ถนนข้าวสาร 1 ชุดมี 3 ลูก ราคา 100 บาท)

3. เริ่มฝึกโยนลูกบอล 1 ลูกจากมือขวาไปซ้าย และมือซ้ายกลับมามือขวา โดยโยนให้เหนือศีรษะทำสลับกันไปเรื่อย ๆ จนแม่นยำ และชำนาญ

4. เพิ่มลูกบอลเป็นสองลูก วางลูกบอลไว้ในมือทั้งสองข้าง เริ่มโยนลูกแรกจากมือขวาเหนือศีรษะขึ้นไปทางซ้าย ก่อนที่ลูกบอลจะตกไปอยู่ที่มือซ้ายนั้น ให้โยนลูกบอลที่อยู่ในมือซ้ายสลับไปยังมือขวาทันที ทำสลับแบบนี้ไปจนคล่อง

5. เมื่อฝึกโยนจนคล่องแล้ว ให้เพิ่มลูกที่ 3 ในมือข้างขวา (ซ้ายมี 1 ลูก ข้างขวามี 2 ลูก) เริ่มโยนลูกที่ 1 ในมือข้างขวาโดยใช้หลักการเดิม คือ ก่อนที่ลูกบอลกำลังตกไปอยู่ในมือข้างซ้าย ให้ปล่อยบอลลูกที่ 2 จากมือซ้ายไปยังมือขวาทันที และในขณะที่บอลลูกที่ 2 กำลังตกในมือข้างขวาให้ปล่อยบอลลูกที่ 3 ไปยังมือข้างซ้าย ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนชำนาญ เป็นอันจบการฝึกขั้นพื้นฐาน



คุณแม่เป้ากับลูกปิ๊ง ครอบครัวจั๊กกลิ้ง


สำหรับประวัติการเล่นจั๊กกลิ้งนั้น มีหลักฐานจากเว็บ Juggling Plus ชุมชนจั๊กกลิ้งแห่งเดียวในประเทศไทย ระบุโดยสังเขปไว้ว่า มีการเล่นกันมาเป็นพันปีแล้ว ตั้งแต่ในอารยธรรมอียิปต์ ซึ่งปรากฏอยู่ในอักษรภาพฮีโรกราฟิกเพื่อให้ความบันเทิงแก่ฟาโรห์ทุกพระองค์ และยังพบหลักฐานชิ้นสำคัญอื่น ๆ อีกจำนวนมาก จากนั้นได้พัฒนารูปแบบเรื่อยมาจนได้รับความนิยมไปทั่วโลก

หันมาพูดคุยกับ จันทร์แรม ปวีณชัย หรือเป้า อายุ 48 ปี คุณแม่ของน้องปิ๊ง-ญาดา วัย 7 ขวบ ครอบครัวที่นำกิจกรรมการโยนจั๊กกลิ้งมาสร้างความสนุกกับลูกในวันว่าง เผยให้ฟังว่า นอกจากกิจกรรมดังกล่าวนี้จะให้ความสนุก และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวแล้ว ยังช่วยฝึกสมาธิ และคลายเครียดจากการทำงานได้ดีอีกด้วย

ด้าน "น้องปิ๊ง" เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คุณแม่เป้า เล่าเสริมให้ฟังด้วยเสียงใส ๆ ว่า การโยนจั๊กกลิ้งเป็นกิจกรรมที่สนุกมาก ถึงแม้ในตอนแรกจะเล่นยาก แต่พอเล่นบ่อย ๆ กลับพบว่าไม่ยากอย่างที่คิดเลย นอกจากนี้ ยังฝึกให้มีสมาธิ แถมได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย โดยเฉพะกล้ามเนื้อมือ และขาที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

สำหรับบ้านที่สนใจจะนำกิจกรรมนี้ไปเป็นคอร์สวันว่างให้กับสมาชิกในครอบครัว ลองเข้าไปดูวิธีการฝึกกันได้ในยูทูบ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ รับรองได้ว่า ไม่ยากอย่างที่คิดครับ สามารถคลิกเข้าชมการเล่นจั๊กกลิ้งง่าย ๆ

ดูวิธีการเล่น(วีดีโอ)...คลิกที่นี่

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000026153