วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ไขข้อข้องใจเรื่อง "ขลิบ"..ดีหรือไม่สำหรับเด็กชาย

ไขข้อข้องใจเรื่อง "ขลิบ"..ดีหรือไม่สำหรับเด็กชาย

กลายเป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงกันอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศในเด็กชาย ซึ่งมีทั้งฝ่ายสนับสนุน และไม่สนับสนุน แต่โดยทั่วไป พ่อแม่หลาย ๆ ท่านทราบกันดีอยู่แล้วว่า การขลิบช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้ดี เพราะสามารถรูดหนังหุ้มอวัยวะเพศให้เปิดออกมาทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่มองว่า การขลิบทำให้ความสนุกในการมีเซ็กซ์ หรือความไวต่อการสัมผัสของอวัยวะเพศชายลดลง

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขลิบในเด็กชายนั้น นพ.วรวีร์ กิตติวัชร ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ให้ความรู้ผ่านทีมงาน Life & Family ว่า การขลิบทำให้พ่อแม่ หรือตัวเด็กเองสามารถดูแลและทำความสะอาดอวัยวะเพศได้สะอาดขึ้น โอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อย่อมมีน้อยลง โดยเฉพาะการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และการแพร่เชื้อกามโรคในหมู่ชาย

ส่วนการขลิบที่หลายคนเชื่อว่า อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็กเมื่อโตขึ้น เช่น ทำให้เด็กกลัวการร่วมเพศ เกลียดอวัยวะเพศตัวเอง หรือกังวลกันไปต่าง ๆ นานาว่า ขลิบแล้วอาจทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลง หรือไม่สนุกในการร่วมเพศ คุณหมอท่านนี้ยืนยันว่า ไม่ใช่เหตุผลใหญ่ และไม่ใช่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันเลย เพราะการเสพสมทางเพศอย่างมีความสุขนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง

"การขลิบในปัจจุบัน แพทย์จะขลิบตามความต้องการของพ่อแม่ และไม่มีข้อบ่งชี้เฉพาะทางการแพทย์ว่า เด็กผู้ชายจะต้องขลิบทุกคน ไม่เหมือนเมื่อสมัย 50 กว่าปีที่แล้ว นอกจากครอบครัวที่นับถือศาสนาอิสลาม เด็กผู้ชายต้องได้รับการขลิบอยู่แล้ว พ่อแม่หลายคนมักเลือกให้ลูกทำตอนแรกเกิด ซึ่งสะดวก และปลอดภัยกว่าการขลิบในตอนโต" ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์กล่าว

อย่างไรก็ดี การขลิบอาจจำเป็นสำหรับเด็กบางกลุ่มที่มีปัญหาหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเปิดได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค และเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้จะมีต่อมซึ่งจะสร้างสารที่เรียกว่าขี้เปียก (smegma) คล้ายขี้ไคลขึ้นมา การที่ไม่สามารถเปิดออกล้างได้จะทำให้สารดังกล่าวคั่งค้าง ก่อให้เกิดกลิ่น และเกิดการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ การขลิบจำเป็นสำหรับบางคนที่หนังหุ้มปลายไม่ยอมเปิดออกจนมีปัญหาต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศที่ทำให้รู้สึกเจ็บ และทรมาน ดังนั้นพ่อแม่บางคนจึงเลือกให้ลูกขลิบตั้งแต่แรกเกิดเพื่อตัดปัญหาดังกล่าว

"พ่อแม่คนไทยที่ให้ลูกขลิบมีอยู่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีทำทั้งความต้องการของพ่อแม่เอง และเกี่ยวเนื่องกับศาสนา โดยส่วนใหญ่แล้วจะให้แพทย์ทำการขลิบในอาทิตย์แรกหลังคลอด เพราะหนังหุ้มปลาย และเส้นเลือดยังบาง แต่ต้องดูเด็กด้วยว่า แข็งแรงดีหรือยัง หรือไม่มีความผิดปกติของอวัยวะเพศ แพทย์จะทำการขลิบด้วยเครื่องมือที่ครอบหนังบีบเข้าไปแล้วตัดออกโดยที่ไม่ต้องเย็บแผล หลังตัดออกแล้วใน 24 ชั่วโมงแรกอาจมีเลือดซึม ๆ ออกมานิดหน่อย มีอาการบวมบริเวณที่ตัด แต่หลังจากนั้นแผลก็จะแห้งและหายภายใน 1 สัปดาห์ เด็กอาจรู้สึกเจ็บในขณะที่ทำ แต่ด้วยระบบประสาทยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ เด็กจะไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหน และจะไม่เกิดการจำหรือฝังใจอย่างที่หลายคนกลัว นอกจากนี้ก่อนทำการขลิบ ยังมีการให้ยาแก้ปวด ทาครีมยาชาบริเวณที่จะทำก่อน" ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์อธิบายถึงขั้นตอนการขลิบในเด็กแรกเกิด



ขอบคุณภาพประกอบจาก http://cdn.sheknows.com



สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่ต้องการให้ลูกได้รับการขลิบ คุณหมอท่านนี้แนะนำว่า ควรตัดสินใจให้ลูกทำตั้งแต่แรกเกิด เพราะถ้าเกิน 1 อาทิตย์ไปแล้วหนังหุ้มปลายและเส้นเลือดเริ่มหนาขึ้น โดยในเด็กโตต้องมีการเย็บแผล ดมยาสลบเนื่องจากเด็กไม่ร่วมมือ ทำให้การทำยุ่งยาก และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

"ปัจจุบันการขลิบทำได้ด้วยความปลอดภัย มียาชาเฉพาะที่ ซึ่งตรงนี้แล้วแต่ความสะดวกใจของพ่อแม่ แต่ถ้าตัดสินใจทำ แนะนำให้ทำตั้งแต่แรกเกิด เพราะทำง่าย และมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาหลังการขลิบนั้นคงไม่มีเรื่องที่น่ากังวลใด ๆ หากพ่อแม่ดูแลรักษาแผลเป็นอย่างดี ซึ่งแพทย์จะให้คำแนะนำในเรื่องนี้อยู่แล้ว" ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์สรุป

ได้ทราบข้อมูลเรื่องการขลิบกันแล้ว ทีนี้จะขลิบหรือไม่ก็คงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ในการพิจารณา และตัดสินใจต่อไป ส่วนเด็กคนไหนที่ไม่ได้ขลิบ หรือไม่มีความจำเป็นต้องขลิบ เรื่องการดูแลสุขอนามัยด้วยตัวเองอย่างถูกต้องคือสิ่งที่พ่อแม่ควรปลูกฝังลูกตั้งแต่เด็ก เช่น ตอนอาบน้ำควรสอนให้ลูกรู้จักรูดเปิดหนังหุ้มปลายทุกครั้งเพื่อล้างสารที่สะสมออกไป และไม่ควรใช้แป้ง หรือสารใด ๆ ทาอวัยวะเพศส่วนปลายที่อยู่ข้างในหนังหุ้ม เพราะอาจเกิดการหมักหมมจนติดเชื้อได้

ท้ายนี้ หากผู้อ่านท่านใดมีข้อคิดเห็น หรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับการขลิบทั้งของตัวเอง และของลูกที่เห็นสมควรแก่การแบ่งปัน สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ทางกล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างนี้ ทีมงานยินดีน้อมรับด้วยความขอบคุณครับ

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000148715