วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับ 8 วิธี พิชิตโรคในเด็ก




เคล็ดลับ 8 วิธี พิชิตโรคในเด็ก
บทความโดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนปรารถนา คงอยากให้ลูกฉลาด เป็นคนดี และสุขภาพแข็งแรง หลายคนคงอาจสงสัยว่า ทำไมลูกของเพื่อนบ้านถึงแข็งแรงไม่ต้องพาไปหาหมอ ทำไมเพื่อนของลูกที่โรงเรียนถึงมีสุขภาพดี ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ วันนี้ผู้เขียนมีเคล็ดลับดีๆ 8 ประการ มาฝากท่านผู้อ่านดังนี้
      
       1.ล้างมือให้สะอาด ให้กฎข้อนี้ถือเป็นกฎเหล็กของบ้าน คือ ทุกคนต้องล้างมือให้สะอาด ล้างมือทุกครั้งหลังออกไปทำธุระนอกบ้าน ล้างมือหลังจากการใช้ห้องน้ำ ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร การล้างมืออย่างสม่ำเสมอช่วยลดการเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจและระบบลำไส้รวมทั้งการย่อยอาหารได้ ฝึกให้ลูกล้างมือให้สะอาดจนเป็นนิสัย เมื่อกลับจากโรงเรียน หลังจากการเล่นเครื่องเล่นที่สนาม การเล่นกับสัตว์เลี้ยงในบ้าน โดยให้ลูกร้องเพลงช้าง 2 จบก่อนการล้างด้วยน้ำสะอาดครั้งสุดท้าย การขัด ถู ทั้งซอกเล็บ ง่ามนิ้วมือ ฝ่ามือ หลังมือเป็นเวลา 15-20 วินาทีถือเป็นเรื่องที่จำเป็น
      
       2.หลีกเลี่ยงการจับบริเวณใบหน้า หวัดและ Flu สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางปาก จมูก ตาและส่วนของบริเวณใบหน้า ดังนั้นให้เด็ก ๆ หลีกเลี่ยงการจับบริเวณดังกล่าว อาจเป็นการยากที่จะควบคุมในเรื่องเหล่านี้ แต่การล้างมือถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ ฝึกเด็กๆ ที่จะไม่ใช้ช้อน ส้อม หลอด แก้วน้ำ หรือแปรงสีฟันร่วมกับคนอื่นๆ และฝึกเด็กๆ ให้ใช้ช้อนกลางในการตักอาหารด้วย
      
       3.แปรงฟันให้สะอาด สุขภาพของช่องปากถือเป็นสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากแบคทีเรียมีการสะสมตัวกันมากขึ้นจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้ รวมทั้งโรค มือ เท้า ปากในปัจจุบัน ดังนั้นควรรักษาสุขภาพฟันให้สะอาดอยู่เสมอ ให้เด็กมีโอกาสแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และหากแปรงหลังรับประทานอาหารกลางวันด้วยจะดีมาก
      
       4.นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอและการพักผ่อนในระหว่างวันช่วยให้เด็กฉลาดและมีสุขภาพแข็งแรง โดยมีอัตราการนอนตามวัย ดังนี้ เด็กทารกจะนอนหลับเกือบตลอดทั้งวัน เมื่ออายุ 1 ขวบอัตราการนอนจะเท่ากับเวลาตื่นคือ 12 ชั่วโมง เมื่อโตขึ้นอัตราการนอนจะลดลงคือ 10 ชั่วโมง และในวัยรุ่นและผู้ใหญ่จะมีความต้องการในการนอน 7-8 ชั่วโมง
      
       5.ออกกำลังกายเป็นประจำ จากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำจนเป็นนิสัย ช่วยลดอัตราการเป็นหวัด หรือ Flu ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ในระหว่างปีได้ถึง 25-50 % เพราะเชื้อโรคเหล่านี้มีการแพร่กระจายอยู่ทั่วไป การออกกำลังกายเป็นเสมือนสิ่งมหัศจรรย์ในการรักษาโรค
      
       6.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในมื้อหนึ่ง ๆ ควรมีอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อาหารเป็นเหมือนภูมิคุ้มกันของร่างกาย อาหารที่ให้วิตามิน C เช่น บล็อกโคลี ส้ม สตรอเบอร์รี และวิตามิน D ในนม ไข่ เนย ควรรับประทานเป็นประจำด้วย
      
       7.พูดคุยเรื่องตลกๆ กับลูกๆ ข้อนี้ช่วยทางด้านอารมณ์ เพราะความเครียดทางอารมณ์ในเด็ก อาจส่งผลต่อร่างกายได้ การพูดคุยเรื่องตลก การหัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองที่ทำให้เกิดการหลั่งสารที่ชื่อว่า endorphin ทำให้เกิดความสุข ส่งผลให้อารมณ์ดี สมองได้รับการกระตุ้นทำให้เกิดความคิดเชิงบวก สร้างสรรค์ และมีจินตนาการ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการฟื้นฟู
      
       8.ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนตามกำหนด มีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Flu) อีสุกอีใส ไข้สมองอักเสบ และอื่นๆ ควรให้ลูกฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนด กรมควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การป้องกัน Flu ได้ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีน
      
       หากลูกมีสุขภาพดี คุณพ่อคุณแม่คงสบายใจและมีความสุข เคล็ดลับ 8 ข้อนี้คงไม่ยากเกินไป และเป็นการสร้างสุขนิสัยที่ดีให้แก่ลูกๆ ด้วย ข้อสำคัญคุณพ่อ คุณแม่ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เด็กๆ เรียนรู้จากการกระทำมากกว่าคำพูด เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ
      
ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000090268

ลูกกินไม่สมดุล เสี่ยงโรคเรื้อรังในอนาคต!

ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ส่งผลให้เด็กหลายๆ คนมีปัญหาภาวะโภชนาการจนน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการบริโภคอย่างไม่สมดุล ส่งผลให้เด็กในเมืองมีความเสี่ยงสูงต่อการด้อยพัฒนาการทางกายและสมอง ขาดวิตามิน และเกลือแร่ แต่ได้รับไขมันและคาร์โบไฮเดรตเกิน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของเด็กไทยที่พ่อแม่ควรเร่งปรับพฤติกรรมการบริโภคของลูก เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนก่อนสายเกินแก้
      
       ดร.ภญ.มาลิน จุลศิริ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คณะเภสัชกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็กวัยซนกำลังน่าเป็นห่วง เพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้หลายครอบครัวต้องซื้ออาหารจานด่วน ซึ่งส่วนใหญ่ขาดความสมดุลทางโภชนาการให้เด็กบริโภคอยู่ประจำ อีกทั้งเด็กจำนวนไม่น้อยนิยมบริโภคขนมและดื่มน้ำอัดลมจนติดเป็นนิสัย จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเด็กไทยใช้เงินซื้อขนมเฉลี่ยคนละ 9,800 บาทต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาที่จ่ายเพียงคนละ 3,024 คนต่อปี
      
       สำหรับพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องนั้น มักเริ่มตั้งแต่วัยก่อนเข้าเรียนคือ 4-5 ขวบ พอถึง 6 ขวบเด็กจะติดเป็นนิสัย และยิ่งโตขึ้นคุณพ่อคุณแม่ยิ่งมีความยากลำบากในการดูแลเด็กเหล่านี้ ทำให้บ่อยครั้งเด็กเกิดปัญหาขาดสารอาหารที่จำเป็น ขณะเดียวกัน เกิดปัญหาของโรคอ้วน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อุบัติการณ์โรคอ้วนในเด็กไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและตามสถิติดูเหมือนเร็วที่สุดในโลก เคยมีรายงานว่าเด็กก่อนวัยเรียนอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็น 7.9 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 และเด็กวัยเรียนอายุระหว่าง 6-13 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 เป็น 6.7 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 ภายในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านๆ มา ทั้งยังพบว่าเด็กไทยมีเชาวน์ปัญญาโดยเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยมาตรฐานที่ระดับ 90 มีมากถึง 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25
      
       “ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก นอกจากส่งผลต่อการพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาของเด็กแล้ว ถ้าปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยไม่รีบแก้ไข จะส่งผลต่อสุขภาพของเด็กดังกล่าวเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย โดยจะเกิดปัญหาของโรคเรื้อรังง่ายขึ้น เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อม เป็นต้น” ดร.ภญ.มาลิน เผยถึงปัญหาที่ตามมา



 


       ดร.ภญ.มาลิน บอกต่อไปว่า ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก แก้ไขไม่ยาก เพียงให้เด็กบริโภคอาหารที่เหมาะสมทุกวันโดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า ให้บริโภคคอาหารที่มีคุณค่า และในปริมาณที่เพียงพอ ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กจะบริโภคอาหารได้อย่างสมดุลทั้งในด้านคุณค่าสารอาหารและปริมาณสารอาหาร การให้เด็กบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพิ่มเติม เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กมีโอกาสได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาการของเขา
      
       “คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองอาจต้องพิจารณาให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาโภชนาการในเด็ก โดยพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นสำหรับเด็ก เช่น วิตามินบีชนิดต่างๆ ธาตุเหล็ก ฯลฯ รวมทั้งกรดอะมิโนจำเป็น เช่น ไลซีน เพื่อนำไปใช้เป็นองค์ประกอบในการสร้างโปรตีน นอกจากนี้ สารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลหวานและไขมัน เช่น โอลิโกแซ็กคาไรด์ ฯลฯ ซึ่งถูกจัดเป็นใยอาหารชนิดละลาย ทั้งยังช่วยในการขับถ่ายด้วย”
      
       ถึงกระนั้น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมักมีรสหวานและกลิ่นหอม ในส่วนนี้ ดร.ภญ.มาลิน บอกว่า คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองควรดูว่า ความหวานในผลิตภัณฑ์นั้นมาจากน้ำตาลหรือไม่ ถ้าใช่น่าจะพิจารณาให้ดี เพราะการบริโภคบ่อยๆ อาจเกิดปัญหาจากน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ตามมาได้ เช่น เกิดเป็นกรดในน้ำลายและก่อปัญหาฟันผุในภายหลัง
      
       “โอลิโกแซ็กคาไรด์ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นสามารถให้ความหวาน แต่ไม่เกิดปัญหาแบบน้ำตาล สารอาหารชนิดนี้มีคุณสมบัติที่น่าสนใจ คือ การเป็นพรีไบโอติกซึ่งจะไม่ถูกย่อยและดูดซึมในลำใส้เล็ก จึงไม่ก่อปัญหาการถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม แต่จะลงไปที่ลำใส้ใหญ่ เป็นอาหารให้จุลินทร์ชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ปริมาณจุลินทรีย์กลุ่มนี้เพิ่มขึ้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยังช่วยการขับถ่าย และเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของร่างกายด้วย” ดร.ภญ.มาลิน กล่าวเสริม
      
       ถ้าไม่เร่งปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ถูกต้องให้เด็กในวันนี้ ประเทศไทยอาจต้องรับมือกับภาวะประชากรที่ขาดสุขภาพดีในวันหน้า และทำให้ต้องสูญเสีย ทั้งคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของชาติในการดูแลบุคคลเหล่านี้ ทางที่ดี คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งสังคมที่เกี่ยวข้องต้องช่วยการดูแลลูกหลาน โดยเฉพาะการบริโภคอาหารให้สมดุล และครบทั้ง 5 หมู่

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000091477

สมองมนุษย์พัฒนาเพราะ “รัก” ไม่ใช่เงินหรือการเรียนพิเศษ




สมองมนุษย์พัฒนาเพราะ “รัก” ไม่ใช่เงินหรือการเรียนพิเศษ
หากมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์จะหยุดความเร็วลงสักหน่อย ใช้ความสังเกตมากสักนิด เราคงสังเกตพบความผิดปกติบางประการที่กำลังเกิดกับเด็กๆ ในปัจจุบัน นั่นก็คือ สถิติของการเกิดโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder : ADHD) ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กกลุ่มที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนความรัก หรือก็คือ เด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตั้งแต่แรกเกิด
      
       โดยนักวิจัยพบว่า ในระบบประสาทส่วนกลางของสมองของเด็กกลุ่มที่เติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น จะมีเนื้อเยื่อส่วนที่เป็นสีเทา (Grey Matter) และส่วนที่เป็นเนื้อสีขาว (White Matter) น้อยกว่าเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวปกติ และสาเหตุที่ทำให้การพัฒนาของสมองเด็กเป็นไปเช่นนั้น ก็เพราะสภาพแวดล้อมภายในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น “ขาดแคลนสิ่งที่เอื้อต่อการพัฒนาของสมอง” ทั้งในด้านบุคลากรที่มีไม่พอเพียง และสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กไม่ได้รับการกระตุ้นใดๆ ทำได้เพียงนอนเงียบๆ อยู่ในเตียงของตัวเอง หรือไม่ก็ต้องร้องไห้จนเสียงแหบเสียงแห้งกว่าจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการ
      
       ความขาดแคลนเหล่านั้นจึงทำให้สามารถอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดเด็กที่อาศัยอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กจึงมีแนวโน้มจะเกิดโรคสมาธิสั้น หรือความผิดปกติทางจิตอื่นๆ ขึ้นมาได้ง่ายกว่าเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวอันอบอุ่น
      
       สำหรับระบบประสาทส่วนกลางนั้น ประกอบด้วย เนื้อเยื่อสมองส่วนสีเทา (Grey Matter) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อสมองที่อยู่รอบนอกของสมอง ส่วนเนื้อเยื่อสมองส่วนสีขาว (White Matter) นั้นจะอยู่ส่วนในของสมอง และทั้งสองส่วนประกอบด้วยเซลล์ประสาทเช่นเดียวกัน ต่างกันแต่เพียงว่า ในส่วนของเนื้อเยื่อสีเทานั้นหน้าที่หลักเป็นการประมวลผล ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ความจำ ทักษะการพูด ฯลฯ ส่วนเนื้อเยื่อสีขาวจะทำหน้าที่ในการรับส่งสัญญาณจากอวัยวะส่วนต่างๆ ไปยังสมองโดยตรง รวมถึงการควบคุมการทำงานของอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อุณหภูมิของร่างกาย เป็นต้น (อ้างอิงจาก http://www.differencebetween.net/science/health/difference-between-grey-and-white-matter)
      
       นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบด้วยว่า เด็กที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กนั้น จะมีระดับสติปัญญาต่ำกว่ามาตรฐาน และมีทักษะทางการใช้ภาษาด้อยกว่าผู้ที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่นอีกด้วย
      
       ดร.ชาร์ลส์ เนลสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา จากบอสตัน กล่าวว่า การศึกษาชิ้นนี้พบช่วงเวลาที่สำคัญของสมองมนุษย์ นั่นก็คือ ช่วง 2 ปีแรกของชีวิต และการดูแลของสถานรับเลี้ยงเด็กก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาที่สำคัญยิ่งของสมองของเด็กๆ เหล่านั้น
      
       “สิ่งที่สามารถอธิบายได้ถึงปัญหาทางพัฒนาการที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนที่สุด ก็คือ สถานรับเลี้ยงเด็กที่ถูกทอดทิ้งนั้นขาดแคลนสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ อันเป็นส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้สมองของมนุษย์เกิดการพัฒนา”
      
       ปัจจุบันมีพ่อแม่จำนวนมากที่ต้องการให้ลูกของตนเองแสดงความเป็นอัจฉริยะในด้านใดด้านหนึ่งออกมา และพยายามหาวิธีต่างๆ มากมายในการพัฒนาศักยภาพของสมองลูก แต่สำหรับเด็กกำพร้า พวกเขาไม่เพียงแต่ขาดความรักความเอาใจใส่ แต่สิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างสมองก็ยังไม่ได้รับโอกาสในการเติบโตอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างมาก
      
       การวิจัยนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และโรงพยาบาลเด็กแห่งบอสตัน สหรัฐอเมริกา

ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000091121

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผลวิจัยชี้พ่อที่สูบบุหรี่ เสี่ยงทำให้ลูกเป็นมะเร็งผ่าน DNA



ผลวิจัยชี้พ่อที่สูบบุหรี่ เสี่ยงทำให้ลูกเป็นมะเร็งผ่าน DNA

การสูบบุหรี่ นอกจากจะทำให้ตัวผู้สูบและคนที่อยู่รอบข้างนั้นมีโอกาสเป็นมะเร็งได้แล้ว ยังอาจทำให้เด็กที่ยังไม่ได้มีโอกาสออกมาลืมตาดูโลก มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งผ่านดีเอ็นเอ (DNA) ของผู้เป็นพ่อที่สูบบุหรี่ได้อีกด้วย ตามรายงานจากผลการศึกษาล่าสุดในประเทศอังกฤษ

ผลการศึกษาดังกล่าวเป็นผลงานของนักวิจัยในมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ระบุในรายงานเอาไว้ว่า พวกเขาอยากเตือนให้หนุ่ม ๆ สิงห์อมควันทั้งหลายได้ทราบถึงโทษของการสูบบุหรี่ให้ทราบว่า นอกจากจะเป็นสิ่งที่ทำร้ายสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างแล้ว ควันบุหรี่ที่สูดดมเข้าไปนั้นจะเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับดีเอ็นเอของคุณพ่อ ซึ่งยีนส์ที่ได้รับความเสียหายเหล่านี้ สามารถถ่ายทอดไปยังเด็กที่อยู่ในท้องได้ หากว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาจนเกิดการปฏิสนธิขึ้นมา

ทางด้านด็อกเตอร์ไดอาน่า แอนเดอสัน กล่าวว่า เซลล์สเปิร์มของผู้ชายจะใช้เวลาราว 3 เดือนในการพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งหลังจากนั้นหากสามีที่สูบบุหรี่ไปมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาจนเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น เด็กตัวน้อย ๆ ที่อยู่ในท้องของแม่ อาจได้รับผลกระทบจากดีเอ็นเอที่ได้รับความเสียหายของพ่อมาด้วยนั่นเอง

ดังนั้น ผู้ชายที่อยากจะเป็นคุณพ่อของลูกที่มีสุขภาพแข็งแรง ควรเลิกสูบบุหรี่อย่างน้อยเป็นเวลา 3 เดือน ก่อนวางแผนมีลูก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของโรคมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก รวมทั้งโรคลูคีเมีย แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ควรเลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาดไปเลยเสียดีกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพของตัวเองด้วย

ที่มา
http://men.kapook.com/view42975.html

โพลชี้ วัยรุ่นไทยกว่า 50% ขาดความรู้เรื่องเพศ

โพลชี้ วัยรุ่นไทยกว่า 50% ขาดความรู้เรื่องเพศ

โพลสถาบันรามจิตติชี้ วัยรุ่นไทยกว่า 50% นิยมสวยผอม คิดใช้ยาลดความอ้วนและศัลยกรรม ยอมรับการมีกิ๊ก ส่วนใหญ่ขาดความรู้เรื่องเพศ

วันนี้ (9 กรกฎาคม) นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาสถาบันรามจิตติ เปิดเผยถึงผลการสำรวจสภาวการณ์เด็กและเยาวชนไทย ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2555 จากกลุ่มตัวอย่างเด็ก 20,000 คน ใน 4 ช่วงอายุ จาก 20 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งสะท้อนปัญหา ซึ่งผลมีดังนี้

สภาวการณ์ด้านสุขภาพ พบว่า เยาวชนระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย ที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ มีเพียงร้อยละ 50 เมื่อขึ้นอุดมศึกษาจะเหลือเพียงร้อยละ 37 และเด็กที่กินผักเป็นประจำทุกมื้อ มีเพียง 1 ใน 3 ของเด็กทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กยังมีค่านิยมสวยผอม โดย 1 ใน 3 คน มีความคิดใช้ยาลดความอ้วนและทำศัลยกรรม

ส่วนสถานการณ์ภาวะเครียดพบว่า เด็กในระดับมัธยมถึงอุดมศึกษา ประมาณ 1 ล้านคน มีอาการซึมเศร้าและหงุดหงิดไม่รู้สาเหตุ และเกือบร้อยละ 50 เคยมีอาการเครียดจนปวดท้องหรืออาเจียน นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กมีความสุขในการไปเรียนลดลง สะท้อนให้ระบบการศึกษาต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งควรปรับการจัดการศึกษาในโรงเรียน ให้กรอบไม่แน่นเกินไป เพิ่มพื้นที่กิจกรรมทางเลือกที่หลากหลายให้เด็กมีทางออกจากความเครียด สร้างความสุขในการใช้ชีวิต ก่อให้เกิดศักดิ์ศรีและเคารพในตัวเอง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการใช้ความรุนแรงในโรงเรียนได้ในเวลาเดียวกัน

ส่วน สถานการณ์เรื่องเพศสัมพันธ์ เด็กและเยาวชนเข้าสู่การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 24 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 35 ในปี 2554 ขณะเดียวกันจากการสำรวจในปี 2554 พบว่าเด็กถึงร้อยละ 27 มีเพื่อนสนิทเคยตั้งท้องหรือเคยทำแท้ง และมีเด็กไทยถึง 1 ใน 4 ที่รู้สึกว่าการมีกิ๊ก หรือมีแฟนหลาย ๆ คนพร้อมกันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ สะท้อนถึงพฤติกรรมและค่านิยมของเด็กจำนวนมากที่ยังสุ่มเสี่ยงต่อการสร้าง ปัญหาให้ตนเอง

นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กยังขาดความรู้เรื่องเพศ มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่รู้ถึงข้อจำกัดและความเสี่ยงในการใช้ถุงยางอนามัย และมีเด็กเพียงร้อยละ 57 ที่ยอมรับการพกถุงยางอนามัยติดตัว นอกจากนี้มีเด็กเพียง 1 ใน 4 ที่รู้สึกว่าได้เรียนรู้เรื่องเพศอย่างพอเพียงจากโรงเรียน

ในส่วนสถานการณ์ความรุนแรงในเด็กและเยาวชนไทยในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า ในจำนวนเด็กในระดับมัธยมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศกว่า 7 ล้านคน พบว่ามีเด็กและเยาวชนกว่า 700,000-1,000,000 คน ตกอยู่ในภาวะความรุนแรงในโรงเรียน เช่น ถูกขู่กรรโชกทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย และการทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียน ทั้งยังมีเด็กที่พบเห็นการพกพาอาวุธร้ายแรง เช่น ปืน มีดดาบ ระเบิดทำเอง เข้ามาในสถานศึกษาเป็นอัตราส่วนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว นอกจากนี้ สื่อยังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อเด็กไทย โดยใช้เวลาดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์ เล่นอินเทอร์เน็ตรวมกันกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน และที่น่าสนใจคือ เด็กกว่าร้อยละ 50 นิยมดูละครโทรทัศน์ จึงจำเป็นต้องสร้างสื่อเพื่อสะท้อนการใช้ชีวิตอย่างฉลาด ปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง

ที่มา
http://women.kapook.com/view43648.html

ทำไมลูกน่ารักกับคนอื่น แต่ก้าวร้าวกับพ่อแม่

คำถาม :
ดิฉันมีหลานชายค่ะ เขาเคยอยู่กับคุณยายที่ต่างจังหวัดอยู่พักหนึ่ง เมื่อพามาอยู่กรุงเทพฯ เพี่อเรียนเตรียมอนุบาล หลานคนนี้จะได้รับการดูแลจากพ่อแม่อย่างตามใจ รวมไปถึงคุณย่า และญาติ ๆ ของเขาด้วย เมื่ออยู่กับย่าหรือคุณป้า เขาจะเรียบร้อย เชื่อฟัง แต่พออยู่กับพ่อแม่หลังเลิกงานและวันเสาร์-อาทิตย์ เด็กมักจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นก้าวร้าว เอาชนะพ่อแม่ และทำพฤติกรรมตรงกันข้ามทุกอย่าง เช่น ไม่เชื่อฟัง ทิ้งของ อิจฉาพี่ ไม่ยอมให้แม่สอนการบ้านพี่ แย่งของพี่ทุกอย่าง พฤติกรรมแบบนี้ จะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ

ปล. เหมือนเด็กตี 2 หน้า พ่อแม่แพ้ตลอด ต้องพูดจาดี ๆ แต่ได้รับการโต้ตอบที่ต้องการเอาชนะ พฤติกรรมบางอย่าง พ่อแม่ก็ต้องลงโทษด้วยการตีบ้าง ลงโทษให้ออกไปนอกห้องบ้าง แต่เด็กก็จะอาละวาด ทุบเตะประตูร้องไห้เสียดัง เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำอย่างไรดีคะ เห็นแล้วเหนื่อยใจแทนพ่อแม่เขามาก ๆ


คำตอบ :
ผู้ถามไม่ได้แจ้งว่าหลานอายุประมาณเท่าไร แต่เข้าใจว่าคงเตรียมอนุบาลใช่ไหมค่ะ สิ่งที่เล่ามาเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในวัยนี้ค่ะ เพราะเป็นวัยที่ต้องการทดสอบว่าตนเองสามารถทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือความต้องการของตนเองได้ พฤติกรรมนี้จะมากหรือน้อยขึ้นกับการฝึกวินัยก่อนหน้านี้และสัมพันธภาพระหว่างคนในครอบครัวค่ะ

อย่างไรก็ตาม คงต้องถามพ่อแม่ว่ามีวิธีรับมือกับพฤติกรรมเหล่านี้อย่างไร เพราะพฤติกรรมที่มีปัญหาของเด็กต้องมีที่มาที่ไปเสมอค่ะ (ไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้ที่เด็กอยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่ได้มีการไปมาหาสู่บ่อยแค่ไหน หลังจากกลับมาอยู่กรุงเทพ คุณยายได้มาเยี่ยมบ้างหรือไม่ หรือเมื่อเด็กเกเร มีการขู่ว่าจะทิ้งหรือส่งกลับไปอยู่กับยายหรือไม่ การพูดกับเด็กแบบนี้ จะยิ่งทำให้เด็กมีปัญหาเพราะรู้สึกไม่มั่นใจในความรักของพ่อแม่ ที่หมอถามเรื่องนี้ เพราะพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กอาจสะท้อนถึงปัญหาความกังวลหรือเครียดได้เช่นกัน)

สำหรับ วิธีแก้ไข คงต้องให้พ่อแม่ยอมรับก่อนว่าพฤติกรรมของเด็กเป็นปัญหา และแนะนำให้เขาพาหลานไปให้กุมารแพทย์หรือจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อประเมินและช่วยกันหาสาเหตุ แพทย์จะได้ให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือได้ตรงจุดค่ะ ส่วนวิธีทั่ว ๆ ไปในการหยุดเด็กที่กำลังอาละวาด ได้แก่ การเบี่ยงเบนความสนใจไปสู่เรื่องอื่น เพื่อให้อารมณ์สงบลงก่อน หากไม่หยุดหรือไม่สามารถใช้วิธีเบี่ยงเบนได้แล้ว อาจลองทำเป็นเฉยๆ ไม่สนใจ ตราบใดที่ไม่มีการใช้กำลังทำร้ายตนเอง ผู้อื่น หรือทำลายข้าวของ ช่วงแรกเด็กอาจจะอาละวาดมากขึ้น แต่ในที่สุดถ้าเรายังคงหนักแน่น เด็กก็มักจะลดการอาละวาดลงเรื่อย ๆ เพราะรู้สึกว่าใช้ไม่ได้ผล

หากมีการทะเลาะกับพี่หรือลงไม้ลงมือกับอย่างอื่น ให้แยกเด็กออกไปก่อนเพื่อให้สงบสติอารมณ์ ไม่ควรตีเด็กขณะที่กำลังอาละวาดเพราะจะกลายเป็นเข้าใจว่า ความรุนแรงเป็นทางออกของปัญหา รอลูกอารมณ์ดีจึงสอนว่าเหตุใดไม่ให้ทำและต้องการให้เขาทำอะไรแทนพฤติกรรมเดิม


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000089856

7 วิธีเก็บความทรงจำกับครั้งแรกของลูก




7 วิธีเก็บความทรงจำกับครั้งแรกของลูก
ความสุขของพ่อแม่ คือ คงไม่ขออะไรมากเท่ากับการได้อยู่ใกล้ ๆ ลูก และไม่อยากจะพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที ตั้งแต่ลูกลืมตาออกมาดูโลก ซึ่งไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นครั้งแรกของลูก ก็มักจะมีความหมายกับพ่อและแม่เสมอ เรื่องราวดี ๆ แบบนี้พ่อและแม่ก็อยากจะให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป อยากถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราว ผ่านสิ่งต่าง ๆ รอบตัว จะมีวิธีไหนกันบ้างไปดูกันดีกว่าค่ะ
1.กล้องที่ดี
            เขาว่ากันว่า รูปที่ดี ต้องมาจากล้องที่ดีด้วย ดังนั้นคุณไม่อยากพลาดภาพสวย ๆ ไปหรอกนะคะ แต่เราก็ไม่ได้บอกให้คุณไปซื้อกล้องแพง ๆ เหมือนช่างกล้องมืออาชีพ เพราะปัจจุบันก็มีกล้องดิจิตอลคุณภาพดีให้คุณเลือกมากมาย ซึ่งสามารถถ่ายได้เท่าที่คุณต้องการ และเป็นกล้องที่มีราคาไม่สูงมากนัก อีกทั้งยังได้ไฟล์ภาพคุณภาพดี และสามารถเก็บไว้ได้นานอีกด้วย
2.ถ่ายภาพจากมือถือ
            หากคุณไม่อยากจะซื้อกล้อง สามารถใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือของคุณพ่อคุณแม่ถ่ายรูปแทนก็ได้ค่ะ บางรุ่นอาจจะถ่ายวิดีโอได้ด้วย ทั้งนี้ความยาวของวิดีโอและจำนวนภาพ ก็ขึ้นอยู่กับความจำในตัวเครื่อง หรือการ์ดเมมโมรี่ เอาไว้เก็บภาพสวย ๆ ของเจ้าตัวน้อยได้
3.การเก็บภาพ
            วิธีเก็บภาพสามารถทำได้สองวิธีคือ เก็บเป็นไฟล์ ใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์หรือซีดี ซึ่งวิธีนี้สามารถเรียกขึ้นมาดูเมื่อไหร่ก็ได้ คุณภาพของสีและความคมชัดก็ยังคงเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังสามารถเก็บภาพได้ไม่จำกัด หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ล้างรูป แล้วเก็บสะสมไว้ในสมุดรวมภาพ วิธีนี้ก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่งนะคะ
4.ทำสมุดให้ลูกรัก
            สมุดพิเศษที่จะเก็บทุกเรื่องราวของลูกเอาไว้ และทั้งภาพและความรู้สึกของพ่อกับแม่นับตั้งแต่วันที่ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก เขียนบรรยายสั้น ๆ ถ่ายทอดเป็นเรื่องราว เก็บเอาไว้อ่าน ในวันที่คิดถึง ให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจกันอีกครั้ง
5.กล่องใส่ความทรงจำ
            เก็บทุกความทรงจำ ใส่ไว้ในกล่องมหัศจรรย์ และเปิดออกมาเมื่ออยากย้อนเวลาไปยังช่วงที่ลูกยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเรา ทั้งของเล่นชิ้นแรกของลูก รองเท้าคู่แรกของลูก เสื้อผ้าชุดแรกที่ไปซื้อด้วยกัน หรือแม้แต่การ์ดใบแรกที่ลูกเขียนคำว่าพ่อกับแม่ลงไป ก็ยังประทับใจไม่รู้ลืม
6.บันทึกลงบนปฏิทิน
            การบันทึกสิ่งสำคัญของลูกลงไป เพื่อเตือนความจำ และเก็บเป็นบันทึกย่อ ถึงวันสำคัญต่าง ๆ ในชีวิตของเขา อย่างเช่น วันที่ลูกเริ่มเดินได้เองครั้งแรก หรือพูดคำว่า พ่อกับแม่ ครั้งแรก หลังจากที่คุณเฝ้ารอคำนี้มาแสนนาน วันพบญาติครั้งแรก ที่จะได้บอกใคร ๆ ว่าลูกของเราน่ารักขนาดไหน รวมทั้งนัดสำคัญต่าง ๆ กับคุณหมอ ที่ไม่สามารถลืมได้
7.ความทรงจำ
            สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของลูก ก็คือ ความทรงจำของคุณพ่อคุณแม่ยังไงล่ะคะ กดเซฟ ใส่เอาไว้ในหัวใจ ให้นึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เคยไปด้วยกัน และถ่ายทอดความทรงจำเหล่านั้นผ่านเรื่องเล่า ในวันที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ ให้หวนนึกถึงกันได้อีกครั้ง
            เพราะลูกเป็นเสมือนดวงใจของพ่อแม่ และความรักก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นมากมาย รวมทั้งเหตุการณ์ที่เป็นครั้งแรกของลูก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งไม่ว่าจะนึกถึงเมื่อไหร่ก็ยิ้มได้เสมอ อย่าลืมแบ่งปันสิ่งดี ๆ แบบนี้ให้กับคนในครอบครัวกันนะคะ  

ที่มา
http://baby.kapook.com/เรื่องน่ารู้คุณลูก-43943.html