วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ชี้ "คุณแม่บ้าน" มีส่วนเอี่ยว ต้นเหตุภาวะทุพโภชนาการในเด็ก!

ชี้ "คุณแม่บ้าน" มีส่วนเอี่ยว ต้นเหตุภาวะทุพโภชนาการในเด็ก!

เมื่อพูดถึง ปัญหาทุพโภชนาการ หรือการขาดสารอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งในเด็กนั้น เป็นปัญหาที่มีการพูดถึงกันบ่อยในหลาย ๆ เวที โดยเด็กที่ขาดสารอาหารในปัจุบันไม่ใช่เกิดแต่เด็กยากจนเท่านั้น เด็กที่มีฐานะดีก็มีปัญหานี้เช่นกัน และหนึ่งในต้นเหตุสำคัญก็คือคุณแม่บ้านนั่นเอง

ในเรื่องนี้ ดร.อาณดี นิติธรรมยง รองผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาและกิจกรรมพิเศษ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สำรวจสถิติพบว่า เด็กก่อนวัยเรียน 1 ใน 5 คน มีปัญหาโภชนาการ ขณะที่เด็กวัยเรียนมีปัญหานี้ประมาณ 1 ใน 10 คน ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วงมาก หากปล่อยทิ้งไว้ โอกาสที่เด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีคุณภาพย่อมเกิดได้สูง

สำหรับต้นเหตุของภาวะทุพโภชนาการในเด็กนั้น นักวิชาการรายนี้ ชี้ว่า คุณแม่บ้านมีส่วนเอี่ยวอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นคนกำหนด และจัดหาอาหารของครอบครัว โดยส่วนมากยังขาดความรู้ว่าโภชนาการที่เหมาะกับแต่ละวัยเป็นอย่างไร ทำให้เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

"คุณแม่หลายคนยุ่งจนไม่มีเวลาเอาใจใส่ควบคุมการรับประทานอาหาร ปล่อยให้ลูกเลือกกินตามใจปาก หรือใช้วิธีซื้ออาหารสำเร็จรูป ทำให้ควบคุมเรื่องสารอาหารที่จำเป็นไม่ได้ ดังนั้น การแก้ปัญหาเรื่องพัฒนาการและพฤติกรรมของคนในครอบครัวต้องเริ่มจากที่แม่บ้านเป็นสำคัญ" ดร.อาณดีกล่าว

แต่กระนั้น ด้วยยุคสมัยที่เร่งรีบจนทำให้คุณแม่ทั้งหลายแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเตรียมอาหารให้ลูก ดร.อาณดี แนะว่า หนึ่งในอาหารที่มีประโยชน์ ราคาไม่แพง ที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้ทุกวัน โดยที่แม่บ้านไม่ต้องเหนื่อย ได้แก่ นม ซึ่งนอกจากจะมีสารอาหาร และแร่ธาตุที่จำเป็นแล้ว ยังรับประทานได้ทันที มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ และรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น นมสดรสต่าง ๆ นมเปรี้ยวชนิดพร้อมดื่ม รวมไปถึงโยเกิร์ตชนิดถ้วย ซึ่งมีทั้งแบบธรรมดา และแบบที่มีประโยชน์เฉพาะด้าน เช่น ช่วยในการขับถ่าย เป็นต้น โดยโยเกิร์ตนับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะให้แคลเซียม โปรตีน และวิตามินบีแล้ว คนที่แพ้นมก็รับประทานได้ เพราะน้ำตาลแลคโตสที่ทำให้แพ้นั้นถูกย่อยไปแล้ว และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีนในนมอีกด้วย

"ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงวัย ควรดื่มหรือรับประทานผลิตภัณฑ์นมให้ได้ทุกวันวันละ 1-2 แก้ว จะเป็นนมสด หรือโยเกิร์ตก็ได้ จึงจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อพัฒนาการอย่างครบครัน และควรออกกำลังกายไปพร้อมกัน เพื่อให้ร่างกายนำแคลเซียมในนมไปเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเริ่มได้ตั้งแต่ในวัยเด็กจะยิ่งดี เพราะร่างกายเราจะสร้างความแข็งแรงของกระดูกได้จนถึงอายุ 30 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นแคลเซียมจะช่วยชดเชยส่วนที่สึกหรอ การสร้างนิสัยการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง และการออกกำลังกายเป็นประจำตั้งแต่ยังอายุน้อย จะเป็นการปลูกฝังรากฐานของการใช้ชีวิตที่ถูกต้องให้กับเด็กต่อไป" ดร.อาณดีเผย

ดังนั้น การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม โดยการออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยพัฒนาการด้านต่าง ๆ แล้ว ยังช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานได้เต็มที่และมีสุขภาพดีด้วย เห็นได้จากรายงานวิจัยจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายทำให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง สามารถสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงสมองดี และร่างกายสามารถผลิตสารกระตุ้นสมอง ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ฉับไว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

"เรารับประทานอาหารเข้าไปเท่าไรก็ควรใช้พลังงานให้สมดุล ไม่เช่นนั้นพลังงานจะสะสมมากเกินไปจนเกิดโรคอ้วน ซึ่งโรคอ้วนไม่ได้แปลว่าได้รับสารอาหารครบเสมอไป คนที่เป็นโรคอ้วนอาจขาดสารอาหารบางอย่างได้ด้วยเหมือนกันถ้าพฤติกรรมการรับประทานไม่ถูกต้อง" ดร.อาณดีกล่าวสรุป


ที่มา
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000116433

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น