วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

5 วิธีง่าย ๆ ฝึกลูกรักให้เมตตา-อ่อนโยนต่อสัตว์


5 วิธีง่าย ๆ ฝึกลูกรักให้เมตตา-อ่อนโยนต่อสัตว์

เมื่อเอ่ยถึงการสอนลูกให้รักสัตว์ ทำให้ผู้เขียนย้อนนึกถึงเหตุการณ์ ๆ หนึ่งในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย คนที่ทำให้คิดถึงเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาหลายปีของผู้เขียนเอง แต่ไม่ค่อยสนิทกันมากนัก เหตุเกิดตอนเย็นหลังเลิกเรียน ใครที่ยังไม่กลับบ้านก็มักจะนั่งรวมกันอยู่ที่ม้าหินด้านล่างของตึก เย็นวันนั้น มีสุนัขแม่ลูกอ่อนที่นักศึกษาในละแวกนั้นคุ้นเคยกันดีเดินผ่านมายังโต๊ะม้าหินที่เพื่อน ๆ มักจะนั่งกัน เหมือนว่ามันจะหิว และมาขออาหาร ขณะที่มันเดินดม ๆ ไปเรื่อย ๆ นั้น คงเป็นความโชคร้ายของมันที่เดินผ่านหน้าเพื่อนของผู้เขียนรายนี้เข้า เพราะเขาตวัดเท้าเตะมันเข้าที่สีข้างอย่างจังจนมันกระเด็นไปหลายตลบ

"เอ๋งงงงงงงงง"
"เฮ้ยยยยย"

เสียงร้องของสุนัขตัวนั้น รวมถึงเสียงร้องของเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ร่วมคณะดังระงมจนแยกไม่ออก ทุกคนตกใจกับภาพที่เกิดขึ้น ไม่นึกว่าเพื่อนคนนั้นจะทำแบบนั้นกับเจ้าหมาได้ ขณะที่เขาเองก็ไม่มีสีหน้า หรืออาการที่บ่งบอกว่าสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป

ผู้เขียนยังจำได้ดีว่า หลังจากวันนั้น มีเพื่อนหลายคน โดยเฉพาะสาว ๆ มองเขาในแง่ไม่ดีไปเลย

ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ เชื่อว่าหลายท่านก็คงไม่อยากให้ลูกของตนเองต้องเป็นเหมือนเพื่อนผู้เขียนที่ยกตัวอย่างขึ้นมานี้เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวมันสะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่มีจิตใจเมตตากรุณาต่อสัตว์ รู้ทั้งรู้ว่ามันอ่อนแอกว่า ไม่สามารถจะต่อกรกับเขาได้ ก็ยังทำร้ายมันได้ลงคอ

แต่จะทำอย่างไรให้ลูกรักเติบโตขึ้นพร้อมกับจิตใจเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมโลก เรามีเทคนิคง่าย ๆ มาฝากค่ะ

1. จัดเวลาพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง

เด็ก ๆ ในปัจจุบันมีกิจกรรมต้องทำมากมาย ทั้งเรียนพิเศษ เล่นกีฬา หรืออีกสารพัดที่พ่อแม่จะจัดหามาให้ ไม่รวมเกมคอมพิวเตอร์ ทีวีที่มาแย่งเวลาไปอีก สิ่งเหล่านี้อาจทำให้สัตว์เลี้ยงกับเด็ก ๆ เหินห่างกันไปโดยปริยาย ถ้าแถวบ้านมีสถานที่สำหรับออกกำลังกายได้ ก็น่าจะลองชวนกันไปเดินเล่นทั้งครอบครัว ทั้งคนทั้งเจ้าหมา จะได้ออกกำลังกายด้วยกัน หรือถ้าไม่มี ก็ลองจัดให้เวลาช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (สมมติ) เป็นวันแห่งการเลี้ยงสัตว์ไปเสียเลย กับช่วงเวลานี้คุณพ่อคุณแม่อาจชวนลูกมาช่วยกันอาบน้ำ ใส่ยากำจัดเห็บ แปรงขน ทำความสะอาดกรง ฯลฯ (ยกตัวอย่างว่าเป็นสุนัขนะคะ เพราะเป็นสัตว์ที่มีคนเลี้ยงค่อนข้างเยอะ)



2. เวลาพาลูกไปซื้อของ ให้ลูกเลือกของฝากสำหรับสัตว์เลี้ยงที่บ้าน

เชื่อว่าครอบครัวในปัจจุบันมีความคุ้นเคยกับห้างสรรพสินค้า - ห้างดิสเคาท์สโตร์เป็นอย่างดี เมื่อต้องไปจับจ่ายใช้สอยในห้างเหล่านั้น พ่อแม่มักจะพาลูก ๆ ไปด้วยอยู่แล้ว เพราะอากาศก็เย็น แถมเดินสบาย มีรถเข็นให้บริการพร้อมสรรพ

หากลองแวะเข้าไปที่แผนกสำหรับสัตว์เลี้ยงก็จะพบว่า มีขนม ของเล่น ปลอกคอ ฯลฯ มากมายให้ซื้อหา ลองตั้งงบประมาณเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ลูกเลือกซื้อของไปฝากเจ้าตูบที่บ้านดู เพราะไม่มีใครรู้ว่า มันจะอยู่ทำหน้าที่ของมันให้ดีที่สุดไปจนถึงเมื่อไร ถ้าวันนี้ และเมื่อวาน เรายังมีมันที่จงรักภักดี เฝ้าบ้านให้ตลอดเวลา ก็ไม่น่าจะเป็นไร หากวันนี้เราจะแสดงความรักต่อมันบ้าง

3. พาลูกไปบริจาคอาหารให้สัตว์ไม่มีเจ้าของ

สัตว์หลายตัวเคยมีบ้าน แต่แล้ววันหนึ่งก็ไม่มีบ้าน ไม่มีคนดูแล ต้องเร่ร่อนพเนจร มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง บางตัวก็ถูกนำไปทิ้งเหมือนมันเป็นขยะ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต และเมื่อไม่มีเจ้าของ หลายตัวถูกมนุษย์ทำร้ายจนพิการ หรือเสียชีวิตก็มี

เท่านี้ชีวิตของสัตว์เหล่านั้นก็ทุกข์มากพอแล้ว หากคุณและครอบครัวอยากสงเคราะห์ให้มันมีความสุขบ้าง ก็ลองหาวันว่าง ๆ สักวัน ชวนครอบครัวหรือเพื่อนบ้านที่สนิทกันซื้ออาหารไปฝาก เชื่อว่าสัตว์เหล่านั้นคงจะยินดีไม่น้อย ซึ่งในขณะที่นำอาหารไปแบ่งปันให้กับสัตว์ พ่อแม่ยังสามารถสอนเด็กถึงความรับผิดชอบที่คนเลี้ยงสัตว์ควรมีได้ด้วย

4. หาภาพยนตร์เกี่ยวกับสัตว์ดี ๆ มานั่งดูด้วยกัน

หากที่บ้านรักการดูภาพยนตร์ด้วยกัน มองหาหนังดี ๆ เกี่ยวกับสัตว์สักเรื่องมานั่งดูก็น่าสนใจไม่น้อย เช่น หนังเก่าคลาสสิคเรื่อง "เลสซี่"

5. เข้าใจสัตว์ผ่านธรรมชาติ

นอกเหนือจากสัตว์เลี้ยง เรายังมีสัตว์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในธรรมชาติ หาอาหารกินเอง การพาลูกไปเที่ยวป่าเขาลำเนาไพรจะทำให้เด็ก ๆ เข้าใจวิถีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งของสัตว์ หรือถ้าหากไม่มีอุทยานแห่งชาติใกล้ ๆ บ้าน ก็ลองมองหาสวนสัตว์ หรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่พอจะแวะเวียนไปเที่ยวได้แทน

การปลูกฝังให้เด็ก ๆ มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยสำหรับพ่อแม่ในยุคนี้ เพราะจะทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจอ่อนโยนต่อเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ต่าง ๆ หรืออย่างน้อยก็ทำให้เขามีสติยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะทำร้ายสัตว์ตัวน้อย ๆ นั้นให้ต้องเจ็บตัว

หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีเทคนิคสอนลูกให้รักสัตว์ดี ๆ เพิ่มเติม ทีมงานก็ขอรับฟังทุกเสียงด้วยความขอบคุณค่ะ

ขอบคุณเทคนิคบางส่วนจาก www.more4kids.info

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น